วันที่ 11 ต.ค. –นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กตัว ข้อความว่า ยอดเงินบริจาคภาษีคือ ดัชนีวัดความนิยมพรรคการเมือง??? ตนได้ดูข้อมูลยอดเงินการบริจาคภาษีเงินได้ให้กับพรรคการเมืองต่างๆ ประจำปี 2563 พบว่า มีพรรคการเมือง ที่ได้รับการบริจาคภาษี ยอดเกิน 1 ล้านบาท มี 5 พรรคคือ 1.พรรคก้าวไกล 12,695,739.77 บาท 2.พรรคประชาธิปัตย์ 3,241,639.30 บาท 3.พรรคกล้า 2,532,740.71บาท 4.พรรคพลังประชารัฐ 2,032,004.08 บาท 5.พรรคเพื่อไทย 1,422,517.81 บาท
นายเทพไทกล่าวว่า กลุ่มบุคลลที่บริจาคภาษีเงินได้ให้กับพรรคการเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นคนชั้นกลาง หรือเป็นคนกรุงเทพและปริมณฑลเป็นส่วนใหญ่ จากเมื่อก่อนพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นแชมป์ในการได้รับบริจาคมาโดยตลอด แต่มาปีนี้พรรคที่เป็นแชมป์ได้รับการบริจาคสูงสุดคือ พรรคก้าวไกล ที่มียอดการบริจาค ทิ้งห่างพรรคการเมืองอื่นหลายเท่าตัว และที่น่าจับตามองอีกพรรคหนึ่งคือ พรรคกล้า ที่มียอดการได้รับบริจาคภาษีสูงเป็นอันดับ 3 มากกว่า พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐอีก ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองก่อตั้งใหม่
นายเทพไทกล่าวอีกว่า จากยอดเงินของการบริจาคภาษี น่าจะเป็นดัชนีหรือนัยยะทางการเมืองได้ระดับหนึ่งที่บ่งบอกว่า คนชั้นกลางที่มีการเสียภาษีเป็นส่วนใหญ่ และคนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่เป็นผู้เสียภาษีเงินได้ มีความสนใจและให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกลมากที่สุด ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยเป็นแชมป์มาโดยตลอดแต่กลับมียอดบริจาคลดลงอย่างน่าใจหาย น่าจะเป็นสัญญาณทางการเมืองบางอย่าง ที่คณะกรรมการบริหารพรรคจะต้องทบทวนการทำงานงานของพรรค ทั้งในเรื่องท่าที จุดยืน และอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค และจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมยอดการรับบริจาคของพรรคจากผู้เสียภาษีเงินได้ลดลงไปมากกว่าผ่านมา เพราะข้อมูลจากการบริจาคภาษีเงินได้ของผู้เสียภาษีให้กับพรรคการเมือง จะเป็นผลโพลวัดความนิยมได้ชัดเจนกว่าผลโพลบางสำนักเสียด้วยซ้ำไป
ด้าน นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การบริจาคให้พรรคการเมืองผ่านการบริจาคภาษีเงินได้ คงไม่ใช่ตัวชี้วัดในความนิยมทางการเมืองทั้งหมดของพรรคการเมือง แต่ละปีจะเห็นได้ว่ามีการเพิ่มขึ้นและลดลงเป็นเรื่องปกติ พรรคประชาธิปัตย์ก็มียอดรับบริจาคผ่านช่องทางนี้มากที่สุดมาโดยตลอด และในช่องทางการบริจาคปกติให้กับพรรคก็จะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองเดียวที่รับบริจาคหลากหลายที่สุดคือ มีประชาชนมีส่วนร่วมเป็นจำนวนมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มี 1-2 ราย แต่ประชาธิปัตย์มีถึง 51 ราย ปรากฎหลักฐานชัดจาก กกต. ถึงแม้ว่าจะมียอดรวมไม่มาก แต่ชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างหลากหลาย ส่วนการบริจาคผ่านการเสียภาษีก็เป็นอีกเรื่องที่ในปีหน้าจะมีการวางแผนเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลมากขึ้นต่อไป
นายราเมศ กล่าวต่อว่า ความนิยมในทางการเมืองคงจะนำมาประเด็นใดประเด็นหนึ่งแล้วมาตัดสินในทุกเรื่องคงไม่ได้ ส่วนของพรรคหากติดตามการทำงานด้วยใจที่เปิดกว้าง ท่าที จุดยืน และอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค คือการทำงานให้กับประชาชนและประเทศยึดมั่นผลสำเร็จของงานและความยั่งยืนในอนาคต ยึดมั่นในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่โกงกิน และไม่คิดล้มสถาบัน เชื่อว่าจะเห็นความจริง และประชาชนก็เห็นว่าพรรคทำงานจริง ไม่ทำงานฉาบฉวยหรือหวือหวาพูดจาให้สนุกสะใจไปวันๆ และวันนึงประชาชนก็จะรู้ว่าพรรคการเมืองนั้นเป็นอย่างไร พรรคใดบ้างที่ไม่ยึดมั่นในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข วันนึงประชาชนจะรู้และวันข้างหน้าก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
นายราเมศ กล่าวด้วยว่า ความนิยมในพรรคการเมืองพฤติกรรมการทำงานการเมืองก็สำคัญ ความตรงไปตรงมา ยึดมั่นในหลักความซื่อสัตย์ สุจริต คำนึงประโยชน์ของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความนิยมต้องเกิดจากสิ่งนี้ต่างหาก และหากคิดว่าสิ่งที่พรรคทำไม่ดีหรือไม่เกิดประโยชน์กับประชาชนใดๆเลย ก็ช่วยเสนอให้มีการยกเลิกประกันรายได้ พี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง ชาวนา มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ให้ยกเลิกที่ไปสร้างบ้านมั่นคงให้กับประชาชนที่ยากจน ให้ยกเลิกการส่งออกที่มียอดเพิ่มขึ้น ให้ยกเลิกพาณิชย์ลดราคาเพื่อประชาชน ให้ยกเลิกการพัฒนาระบบชลประทานทั้งหมดที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำ และอีกมากมาย สิ่งที่ดีที่พรรคทำก็ต้องยกเลิกให้หมด การที่นายเทพไท ออกมากล่าวเช่นนี้ก็จะไม่เป็นธรรมต่อพรรค เหมือนพรรคไม่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ดีเลย