กรณีที่มีข้อมูลว่า รพ.มหาราช จ.นครศรีธรรมราช รับเคสผู้ป่วยส่งต่อมาจากโรงพยาบาลพรหมคีรี จำนวน 4 เคส มีผลเอกซเรย์ ยืนยันอาการชัดเจน แต่ไม่ได้รับการอนุมัติยาฟาวิพิราเวียร์ มาใช้รักษาอาการป่วย เนื่องจากตอนนี้ทางรพ.มีจำนวนยาไม่ถึง 500 เม็ด จึงต้องเก็บไว้ให้เคสอื่นๆ ที่มีอาการหนักและรุนแรงกว่านั้น
ทีมข่าวท็อปนิวส์ ได้สอบถามไปยัง นพ.อนุวัฒน์ รินทรวิฑูรย์ แพทย์อายุรกรรม ในฐานะประธานองค์กรแพทย์ รพ.มหาราช ยืนยันว่า ทางรพ.มียาเพียงพอ แต่ไม่ได้ให้ยากับทุกเคส โดยเคสที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการไอ ไข้ เจ็บคอ ก็จะรักษาไปตามอาการ โดยไม่ได้ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ แต่จะต้องเช็คอาการเป็นระยะ ส่วนเคสที่ผู้ป่วยมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ หรือเชื้อลงปอด จะได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์ทันที โดยที่ไม่ต้องรอการเบิกยา เพราะทางรพ.มีการสต๊อกยาไว้อยู่แล้ว แต่หากในอนาคตไม่เพียงพอก็สามารถประสานไปยัง รพ.ที่อยู่ในกลุ่มเขตภาคใต้ตอนบน(ประกอบด้วย ชุมพร ระนอง พังงา สุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช ภูฌฏ็ต) เพื่อนำยามาใช้กับผู้ป่วยได้ ส่วนทั้ง 4 เคสที่ถูกตั้งคำถามมานั้น เป็นเพราะผู้ป่วยยังไม่เข้าข่ายที่จะต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนคร เชียงใหม่ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ หรือยาต้านไวรัสโควิด-19 ที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อโควิด -19 ที่เชียงใหม่ หมดสต๊อก ขณะที่ยังมีผู้ป่วยติดเชื้อในพื้นที่อีกกว่า 2,000 ราย และต้องการให้ข้อความนี้ไปถึงผู้บริหารส่วนกลาง เพราะขาดยาเหมือนขาดอาวุธสู้กับโควิด-19 ซึ่งในเวลาต่อมา มีการรวบรวมสต๊อกยาใหม่ และมีการนำยามาเติมเรียบร้อยแล้ว
แต่เรื่องราวดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับประชาชนไม่น้อย เพราะเกรงว่าประเทศไทยจะมียาไม่เพียงพอ ทีมข่าวท็อปนิวส์ ได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง นพ.ชัยวัฒน์ เตชะไพฑูรย์ ผู้อำนวยการโครงการสนับสนุนนักรบเสื้อขาวต้านภัย Covid-19 ระบุว่า ตอนนี้บ้านเรามีปัญหายาไม่เพียงพอ เพราะมีเพียงแค่ 3-4 แสนเม็ดเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงเราควรมียาอยู่ในมือจำนวน 3-4 ล้านเม็ด เพื่อกระจายไปยังศูนย์บริการต่างๆ ทั้ง 77 จังหวัด แต่ตอนนี้กระบวนการเบิกยาต้องรอจากกระทรวงสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้ไม่ทันการ คนไข้ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ คนที่มีอาการน้อย กว่าจะได้รักษา ก็อาจทำให้ลุกลามกลายเป็นโคม่าได้
สำหรับการรักษาผู้ป่วยใน 1 เคส ตลอดกระบวนการรักษาจะต้องกินยาถึง 50-90 เม็ด แล้วแต่อาการหนักเบา ปัจจุบันเรานำเข้ายาจากจีนและอินเดียเป็นหลัก และทราบว่าเรานำเข้าเคมีจากจีนเพื่อเตรียมผลิตยาเองแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงของการวิจัย และยังต้องรอขั้นตอนการขึ้นทะเบียนยาจากองค์การเภสัชอีก คาดว่าใช้เวลาอีกเป็นปี ซึ่งอาจไม่ทันการ ดังนั้น ส่วนตัวมองว่า รัฐควรใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้ไทยผลิตยาเอง แล้วนำมาใช้กับผู้ป่วยทันทีที่พร้อม โดยตัดขั้นตอนขององค์การเภสัชออกไป เพราะทำให้ทุกอย่างล่าช้า ทั้งนี้ จากการคำนวนแล้ว ยา 5 ล้านเม็ด จะใช้เงินเพียง 40 ล้านบาทเท่านั้น