ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยการประชุมในวันเดียวกันนี้ใช้เวลาไม่นาน เมื่อเข้าสู่ช่วงวาระสถานการณ์โควิด-19 นายกฯ ชี้แจงกรณีโซเชียลมีเดีย ออกมาถามหาวัคซีนไฟเซอร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา บริจาคว่าหายไป 3 หมื่นกว่าโดส ว่า “ผมชี้แจงไปแล้วว่าวัคซีนที่มาเป็นตัวเลขกลมๆ แต่วัคซีนที่มาจริงเป็นคนละตัวเลขกัน ยืนยันว่าไม่ได้หายไปไหน ผมได้ให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงมาแล้ว”
นอกจากนี้ นายกฯ ยังขอให้ประชาสัมพันธ์ว่า การฉีดวัคซีน เพื่อลดอัตราการตาย อัตราการป่วยหนัก ทำความเข้าใจกับประชาชนว่าวัคซีนไม่ได้ช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 แต่ช่วยป้องกันการตายและการป่วยหนัก วัคซีนไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนก็ช่วยได้อยู่แล้ว และไม่มีวัคซีนใดที่จะป้องกันการติดเชื้อได้นาน เราจะต้องรับมือและจัดการกับสถานการณ์ในตอนนี้ไปก่อน และขอให้รวบรวมจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด และที่ทำงานด้านหน้า เพื่อพิจารณาดูแลเรื่องค่าตอบแทนเพิ่มเติม
นายกฯ ยังสั่งการเรื่องการล็อกดาวน์จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) เป็น 29 จังหวัด ว่า ขอให้แต่ละจังหวัดและหน่วยงานพิจารณามาด้วยว่าการล็อกดาวน์ช่วยได้มากน้อยแค่ไหน และจะมีมาตรการดูแลประชาชนอย่างไร การปฎิบัติต้องชัดเจน ดังนั้นแต่ละจังหวัดจะต้องออกข้อปฏิบัติให้ชัดเจน จะให้รัฐบาลล็อคดาวน์ทั้งหมดก็อาจจะลำบาก ขอให้ไปศึกษาต่างประเทศด้วยว่าเขาทำแบบไหน ก็ให้นำมาปรับใช้ในประเทศ
ในช่วงหนึ่ง นายกฯ พูดพลางหัวเราะถึงกรณีมีการเผยแพร่ภาพที่ตนเองยืนพูดคุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา เพียงสั้นๆว่า “รูปที่ออกไป ทุกคนคงเห็นแล้ว เราทำงานช่วยกันดี ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน พรรคร่วมรัฐบาลมีความสัมพันธ์ที่ดีไม่ได้เป็นไปตามข่าวว่ามีความขัดแย้ง ทุกคนต้องช่วยกันทำงานช่วยกันชี้แจง ใครมีหน้าที่ก็ชี้แจง ต้องขอบคุณครม. ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือกันช่วยกันทำงาน เราต้องสามัคคีกัน เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายการประชุมนายกฯ สั่งการเรื่องข่าวเท็จ ข่าวปลอม (เฟกนิวส์) ว่าต่อให้เราออกข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ยังเข้าไม่ถึงแพลตฟอร์มที่เขามี เขาก็อาจจะไม่ได้รับข่าวสารจากเราโดยตรง จึงต้องมาดูว่าจะทำอย่างไร ให้กลุ่มคนดังกล่าวสามารถเข้าถึงข้อเท็จจริง จึงขอให้ไปช่วยกันคิดดู ว่าจะทำอย่างไรให้ข้อมูลของเราไปถึงเขา ทั้งนี้ นายกฯ หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงการชุมนุมของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ในขณะนี้ โดยกล่าวเพียงว่า ให้เป็นเรื่องของตำรวจและให้เป็นเรื่องของกฎหมายดำเนินการ