เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 64 กรมศุลกากร ได้ออกเอกสารชี้แจงข่าวลือ กรณีรัฐบาลเก็บภาษีวัคซีนโมเดอร์น่า กว่า 100 % โดยระบุว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง
นายพชร อันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าวัคซีนทุกประเภทตามที่มีกระแสข่าวตามสื่อสังคมออนไลน์
โดยปัจจุบันการนำเข้าวัคซีนและอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าให้เหลือ 0 % ทั้งหมดอยู่แล้ว จะเหลือเพียงแค่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวท ) ที่ 7 % เพียงอย่างเดียว ดังนั้นข่าวลือที่ออกมาว่ารัฐบาลมีการเรียกเก็บภาษีวัคซีนโมเดอร์นารวมแล้วสูงนับร้อยเปอร์เซนต์จึงไม่เป็นความจริง
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ครม.ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลายกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่นำเข้ามาใช้ในการรักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามรายการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เพื่อดูแลและเยียวยาผล กระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเสียอากรนำเข้า จนถึงเดือนมีนาคม 2565 แต่ยังคงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่
ทั้งนี้กรมสรรพากรได้ร่วมชี้แจง ถึงกระแสข่าวการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มการนำเข้าวัคซีนทางเลือกของบริษัทเอกชน ถึง 2 เด้ง รวมเป็น 14 % นั้นไม่ใช่ความจริง และเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะข้อเท็จจริงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถใช้ภาษีขายมาหักภาษีซื้อได้
“เมื่อผู้นำเข้าวัคซีนได้นำเข้าวัคซีนมาในราคา 100 บาท มีภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า 7 % คิดป็นภาษีซื้อ 7 บาท ซึ่งในส่วนของภาษีซื้อนี้ ผู้นำเข้าสามารถขอคืนได้หรือเอาไปหักออกจากภาษีขายได้ด้วย ดังนั้นหากนำเข้ามาแล้ว ขายต่อโดยไม่คิดกำไร ก็จะขอคืนแวดได้ทั้งหมดแต่หากมีการนำเข้ามาแล้วขายทำกำไรก็จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะส่วนต่างกำไรที่เกิดขึ้น”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวัน ได้มีผู้โพสต์เนื้อหา โดยพาดหัวข่าว เก็บภาษีวัคซีน 100 % รัฐบาลไทยทำได้ลงคอ
พร้อมกับ มีการให้ข้อมูล ระบุว่า กรณีวัคซีนโมเดอร์น่า ราคานำเข้า 584 บาท ขายให้เอกชน 11,00 (ภาษี 516 ผ่านองค์การเภสัช ) เทียบเท่าภาษีนำเข้า 88 %
สมมติราคาปลายทาง 1,500 บาท ประชาชนเสียภาษีจ่ายผ่านรพ. 7 % ของ 1,500 บาท = 105 บาท รพ.เอกชน เสียภาษี VAT 7% ของ (1,500 -1,100 ) = 28 บาท
อภ.เป็นตัวกลางซื้อ โมเดอร์น่า ให้ รพ.เอกชน จากข้อมูล ต้นทุน 584 บาท ราคาเด้งขึ้นมา (คำนวณแล้วภาษี 111.1%) พร้อมมีข้อความคำแนะนำถึงท่านนายกฯ หยุดทำเงินกับวัคซีน ทั้งผ่านองค์การเภสัชกรรม 516 บาท และกระทรวงการคลัง 133 บาท ซึ่งหลังการโพสต์ข้อความนี้ออกไป ได้มีผู้เข้ามาแชร์ข้อความเป็นจำนวนมากพร้อมกับวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ทั้งที่ข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จ
ทั้งนี้ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) โดยนายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการ 12 ข้อ
โดยเฉพาะข้อที่ 11 ระบุว่า มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน การเสนอข่าวหรือการทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิด เป็นความผิดตามมาตรา 9 ( 3 ) แห่งพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
อนึ่ง ผู้ฝ่าฝืนข้อกำหนดซึ่งออกตามมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ย่อมเป็นความผิดซึ่งอาจต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ