ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ผ่านมาถึงวันที่ 22 พ.ค. 2564 ครบ 7 ปี เหตุการณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช. ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้นแต่งตั้งตนเองเป็นหัวหน้าคสช. ประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
บรรดานักการเมืองที่สูญเสียอำนาจ โดยเฉพาะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาโพสต์ข้อความรำลึก 7 ปี การรัฐประหาร มีการให้ข้อมูลว่าช่วงเวลา 7 ปีการบริหารของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ประสบความล้มเหลว พร้อมบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนเองต้องกระเด็นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เนื่องจากการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(คสช.) ให้มานั่งห้องเย็นสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้บรรดาองค์กรอิสระรวมหัวพิพากษาตนให้พ้นจากตำแหน่ง
“ทำให้เชื่อได้ว่า มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า จากหลายเหตุการณ์ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างทำรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 “ ข้อความที่ ยิ่งลักษณ์โพสต์
ขณะเดียวกัน เหล่านักการเมืองในเครือข่ายนายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พี่ของยิ่งลักษณ์ เรียงหน้าออกมาบรรยายเหตุการณ์ 7 ปี ของรัฐบาลคสช. โดยสร้างชุดความคิดเดียวกับ อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ นั่นคือ “รัฐบาลเผด็จการบริหารงานล้มเหลว ไม่มีอะไรดีสักอย่าง “
เมื่อพิจารณาจากเนื้อหา กลับไม่พบ การนำเสนอต้นเหตุแท้จริงของการถูกยึดอำนาจ ไม่มีเนื้อหาท่อนใดอธิบายว่า ทำไมประชาชนเรือนล้านถึงพร้อมใจกันออกมาขับไล่ยิ่งลักษณ์
เปรียบได้กับประโยค “เอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่น” เป็นประโยคที่เหมาะสมกับบรรดานักการเมืองไทยที่ไม่เคยสำเหนียกถึงการเข้ามาทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่เคยยอมรับว่าตนเองทำอะไรผิดพลาด นักการเมืองไทยจึงมีมาตรฐานแตกต่างสากล
นักการเมืองไทยบางกลุ่ม มีชุดความคิดที่ว่า คนไทยมักลืมง่าย คนไทยชอบแต่เรื่องสาดโคลน แต่หารู้ไม่ ในโลกยุคใหม่ เหตุการณ์ข้อเท็จจริงหลายอย่างไม่อาจลบออกจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้
สิ่งที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์อ้างเหตุผลการยึดอำนาจมาจากการโยกย้ายนายถวิล มาจากการวางแผนเตรียมการล่วงหน้าขององค์กรอิสระ ทว่า กลับไม่พบอีกเหตุการณ์ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญโดยที่ตนเองผันตัวมาเป็นนักการเมือง เป็นนายกรัฐมนตรี
แทนที่จะบริหารชาติบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่กลับบริหารชาติเพื่อพวกพ้อง โดยเฉพาะเอื้อประโยชน์ให้พี่ชาย โดยทำลายระบบนิติรัฐ ทำลายกลไกในสภา
ยิ่งลักษณ์ทำไมลืม ชนวนเหตุแห่งการเข้ามายึดอำนาจ เริ่มต้นจากความพยายามของอดีตนายกฯน้องสาวไฟเขียวให้ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยขณะนั้น นำเสนอร่างกม.นิรโทษกรรม ด้วยจุดประสงค์ให้นักโทษหนีคดีทุจริตได้กลับประเทศอย่างสวยงาม
มีความพยายามอย่างไม่อายฟ้าดิน สร้างความเป็นเผด็จการรัฐสภา ต้องผ่านกฎหมายฉบับนี้ให้สำเร็จจะตีสองตีสามต้องทำ ส่งผลให้ส.ส.ฝ่ายค้านคัดค้านอย่างถึงที่สุด เพราะกฎหมายลักษณะดังกล่าว เป็นกฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ขณะที่ประชาชนที่เห็นพฤติกรรมความพยายามของอดีตนายกฯน้องสาวเอือมระอา ขยับออกมาเคลื่อนไหวนอกสภาพร้อมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกปปส.ขณะนั้น ทำให้เกิดการเดินขบวนทั่วพื้นที่สำคัญในกรุงเทพมหานคร และประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ
ขณะที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมสูญเสียอำนาจ ส่งสัญญาณให้แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)นำโดย จตุพร พรหมพันธ์ ปลุกมวลชนต่างจังหวัดมาร่วมชุมนม ยึดฐานที่มั่นบริเวณถนนอักษะ เพื่อต้องการแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่า จะมาโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ง่ายเพราะมีฐานมวลชนคอยสนับสนุนอยู่ อีกทั้งก็รอจังหวะเคลื่อนเข้าสู่เมืองกรุงฯ พร้อมปะทะกับมวลชนกปปส.ที่ชุมนุมนานกว่า 200 วัน
เมื่ออุณหภูมิทางการเมืองใกล้สู่จุดเดือด ม็อบสองฝ่ายมีทีท่าต้องปะทะหวั่นเกรงนำมาซึ่งความบาดเจ็บสูญเสีย จึงเป็นเหตุให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ขณะนั้น ตัดสินใจ เชิญคู่กรณีทั้งฝั่งนักการเมือง แกนนำมวลชน ร่วมหารือหาทางออกร่วมกัน
พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยปรารถนาเข้ามาครองอำนาจ ด้วยความคิดแรกเริ่ม อยากให้ “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” เพราะนักการเมือง คือตัวต้นเหตุ ที่พยายามทำลายกลไกสภา ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาอำนาจ ฝ่ายหนึ่งต้องการให้เสียสละ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมใคร จึงจบลงที่กรรมการกลาง อย่างพล.อ.ประยุทธ์ ขอประกาศยึดอำนาจ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ จัดให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย จึงทำให้พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ บริหารประเทศ
กี่ครั้งแล้ว ที่นักการเมืองผู้ครองอำนาจจุดชนวนปัญหาให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ปลุกปั่นให้ประชาชนแบ่งเป็นฝักฝ่าย และทหารต้องเข้ามาคลี่คลาย
ถ้าคิดในระยะเวลาไม่ห่างนัก ต้องเป็นรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หรือ อดีตนายกฯพี่ชายยิ่งลักษณ์ บริหารบ้านเมืองด้วยวาระซ่อนเร้นเอื้อประโยชน์ให้กับเครือญาติ ตกเป็นคดีทุจริตมากมาย ในที่สุดต้องหลบหนีคำพิพากษาไปอยู่ต่างประเทศ นั่นไงเล่า ทำให้ผู้คนในบ้านเมืองต้องแตกแยกแบ่งเป็นสีเสื้อ กรรมการกลางอย่างทหาร จึงต้องหาวิธีให้ผู้คนกลับมาปรองดอง เพราะไม่ว่าสีไหนก็คือคนในชาติเดียวกัน
7 ปี ที่เหล่านักการเมืองบางกลุ่มบางฝ่าย พยายามสรรหาวาทะกรรมโจมตี ใส่ชุดความคิดบ้านนี้เมืองนี้เป็นเผด็จการ ทั้งๆที่ใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันผ่านกระบวนการเลือกตั้งเข้าสู่สภา
แทนที่คำนึงถึงหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอแนะแก้ปัญหาชาติ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือประชาชนอย่างไร จะร่วมกันสร้างความสมัครสมานสามัคคี แต่กลับจ้องผลิตวาทกรรม ให้เกิดความแตกแยกกันต่อไป
น่าเสียดายห้วงเวลา 7 ปี ที่นักการเมืองไทยควรใช้เวลาทบทวนตัวเอง เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดกับชาติบ้านเมือง
เพราะถ้าทำได้ บ้านนี้เมืองนี้คงไม่ต้องเรียกใช้บริการทหารมาเป็นกรรมการกลางเพื่อยุติปัญหาทั้งปวง