นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวภายหลัง ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การปราศรัยของแกนนำ หรือผู้ถูกร้องทั้ง 3 เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองในระบบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีคำสั่งห้ามให้ผู้ถูกร้องกระทำการในลักษณะแบบนี้อีก รวมถึงบุคคลอื่นบุคคลใดด้วยว่า หลังจากนี้จะนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง ว่ามีส่วนใดที่คำวินิจฉัย เกินอำนาจศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมถึงไปกระทบต่อสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ กำหนด ตามมาตรา 49 วรรค 2 หรือไม่ เนื่องจากมีคำสั่งห้ามบุคคลอื่นหรือผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการในลักษณะนี้อีกในอนาคต ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ เป็นการวินิจฉัยเกินอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าหลักฐานของฝั่งผู้ร้องครบถ้วนตามกระบวนการหรือไม่ เพราะแม้แต่การขอไต่สวนพยานทั้ง 8 ปากของฝั่งผู้ถูกร้อง ก็ถูกคัดค้านจากศาลรัฐธรรมนูญ อ้างไต่สวนหลักฐานจากการถอดเทปคำปราศรัยและกระดาษไม่กี่แผ่น ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีน้ำหนักเพียงพอต่อการชี้ขาดวันนี้หรือไม่
ต่อข้อถามว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาในลักษณะนี้ อาจเป็นแนวทางเพิ่มน้ำหนักให้กับคดีอาญาของกลุ่มแกนนำที่เคลื่อนไหวในลักษณะนี้หรือไม่ นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าคำวินิจฉัยของศาลจะถูกนำมาเป็น บรรทัดฐานอ้างอิงในคดีอาญาอื่น ๆ เช่นคดีของนายอานนท์ นำภา ซึ่งจะเป็นภาระที่หนักให้ทีมทนายความมากขึ้น เพราะคำวินิจฉัยนี้จะผูกพันไปทุกองค์ ส่วนจะเชื่อมโยงไปสู่ข้อเสนอเรียกร้องยกเลิกมาตรา 112 หรือไม่ ยังไม่สามารถคาดเดาได้ ส่วนแกนนำจะเคลื่อนไหวต่ออีกหรือไม่ หลังจากนี้ถือเป็นสิทธิ ของพวกเขาที่จะกระทำได้
นายกฤษฎางค์ ยังระบุอีกว่า รู้สึกผิดหวังกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแต่ไม่ได้แปลว่าฝั่งผู้ถูกร้องแพ้แต่อย่างใด พร้อมเรียกร้องให้สังคมรวมถึงนานาชาติตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าถูกต้องหรือไม่