วันที่ 10 มิถุนายน 2564 การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 3 เป็นพิเศษ โดยวันนี้จะมีการลงมติให้ความเห็นชอบ พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท
ต่อมาเมื่อเวลา 10.45 น. ภายหลังจากการอภิปรายเสร็จสิ้น รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และปลัดกระทรวงการคลังชี้แจงปิดท้าย จากนั้น นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร กดออดตรวจสอบองค์ประชุมเพื่อลงมติอนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท โดยผลเป็นดังนี้
จำนวนผู้ลงมติ 469
เห็นชอบ 270
ไม่เห็นชอบ 196
งดออกเสียง 1
ด้าน นายภราดร ปริศนานันทะกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย ส.ส.พรรคภูมิใจไทย แถลงข่าวชี้แจง ถึงการลงมติ พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการแพร่ระบาดและติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท หรือ ( พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ) ว่าพรรคภูมิใจไทยมีมติว่าเห็นด้วยกับการกู้เงิน 5 แสนล้าน ด้วยเหตุผลคือ พรรคภูมิใจไทยได้เห็นถึงความจำเป็นในการขอเงินกู้เงินเพิ่มเติมในครั้งนี้จึงจำเป็นที่จะต้องอนุมัติงบประมาณก้อนนี้ เนื่องจากเงิน 5 แสนล้านนี้ รัฐบาลจะนำไปแก้ปัญหาเรื่องสาธารณสุข เยียวยาพี่น้องประชาชน รวมทั้งการฟื้นฟูหารแพร่ระบาดของ โควิด-19 จึงมีความจำเป็นที่จะต้องลงมติอนุมัติ
อย่างไรก็ตามพรรคภูมิใจไทยก็ยังมีความเป็นห่วงในกระบวนการที่จะดำเนินการให้ใช้งบประมาณนี้ จึงมีความจำเป็นจะต้องตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการใช้งาน 5 แสนล้านอย่างเข้มงวด และให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดโดยคาดว่าในสัปดาห์หน้าจะเสนอญัตติด่วนต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ที่ประชุมได้หารือ และนำสู่การตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา 1 ชุด ในการตรวจสอบและติดตามการใช้เงิน 5 แสนล้านในครั้งนี้
ทั้งนี้ การตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาตรวจสอบเงินกู้ 5 แสนล้าน ที่กำลังจัดตั้งขึ้นใหม่นี้ควรที่จะมีกำหนดกรอบหน้าที่ให้ชัดเจน ซึ่งต้องเริ่มจากการเขียนญัตติเพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรให้ชัดเจนว่ากรรมาธิการนั้นตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อให้กรรมาธิการปฏิบัติตามญัตติ โดยเชื่อกรรมาธิการเงินกู้ 5 แสนล้านนี้จะยังมีความเข้มข้นในการตรวจสอบ และต้องมีความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ให้เข้มข้นกว่าการตรวจสอบเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมา