เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หรือ บงบง พร้อมด้วยภรรยาและลูกชายสองคน เดินทางไปลงสมัครรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2565 เรียบร้อยแล้ว ทำให้วงการการเมืองฟิลิปปินส์ต้องสะเทือนอีกครั้ง
ก่อนที่มาร์กอสจะเข้าไปสมัคร ผู้ประท้วงได้รวมตัวกันที่ด้านนอกอาคารคณะกรรมาธิการว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในกรุงมะนิลา เผารูปของเฟอร์ดินานด์ มาร์กอสที่ล่วงลับไปแล้ว และสาบานว่าจะพยายามทุกทางในการสกัดกั้นการคืนอำนาจของครอบครัวนี้ โดยทนายความด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวกับซีเอ็นเอ็นฟิลิปปินส์ว่า เรารู้ว่าพวกมาร์กอสต้องการกลับเข้าไปยังทำเนียบประธานาธิบดีมานานแล้วเพื่อจัดระเบียบประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่
คริสตินา พาลาเบย์ แห่งกลุ่มสิทธิมนุษยชน คาราพาตัน กล่าวว่า พวกมาร์กอสยังคงไม่เคยรับโทษถูกคุมขัง พวกเขาไม่ได้คืนเงินทั้งหมดที่ยักยอกไป และตอนนี้พวกเขากำลังจะกลับมาดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายที่สุด
ครอบครัวของมาร์กอสได้พยายามสร้างภาพลักษณ์ของตนขึ้นมาใหม่เสมอ และได้ปฏิเสธข้อกล่าวหามาตลอดว่าพัวพันคดีคอรัปชั่นช่วงที่เรืองอำนาจจนถึงปี 2529 มูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณกว่า 3 แสนล้านบาทจากฟิลิปปินส์ ครั้งนั้นมาร์กอสต้องลี้ภัยหนีคดีไปต่างประเทศและเสียชีวิตที่นั่น
วิกเตอร์ โรดริเกซ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของมาร์กอส ระบุว่า แม้จะตกอยู่ท่ามกลางความเกลียดชังในการหาเสียงและการประท้วงมาหลาย 10 ปี แต่ครอบครัวมาร์กอสก็จะเคารพสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและจะทำเช่นนั้นต่อไป ทั้งนี้ มาร์กอสพยายามย้ำว่า ตัวเขาจะเป็นผู้นำรวมใจเป็นหนึ่ง เพื่อช่วยฟิลิปปินส์จัดการกับโรคระบาดและวิกฤตเศรษฐกิจต่อไป