ผบช.ภ.1 ยอมรับพนง.สอบสวน สภ.บางปะหัน ไม่มีอำนาจสั่งปรับเงิน 500 บาท กรณีมีผู้ฝ่าฝืนไม่สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่จ.พระนครศรีอยุธยา โดยสั่งเพิกถอนค่าปรับ ก่อนส่งให้ส่งศาลพิจารณาคดี พร้อมยืนยันตำรวจใช้ดุลยพินิจในการจับปรับ โดยดูที่เจตนาของผู้กระทำผิด
วันที่ 26 เม.ย. 64 พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 แถลงชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีปรากฏภาพเอกสารค่าปรับเป็นเงิน 500 บาทของพนง.สอบสวนสภ.บางปะหัน พระนครศรีอยุธยา ลงวันที่ 25 เม.ย ในความผิดฐานไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ขณะอยู่นอกเคหะสถาน หรือต้องติดต่อกับบุคคลอื่น หรือเดินทางไปสถานที่สาธารณะฯ โดยกรณีนี้จับปรับผู้ไม่สวมหน้ากากอนามัยฯ ในพื้นที่สภ.บางปะหัน ได้รับรายงานว่า เป็นเรื่องที่ คณะกรรมการอำเภอบางปะหัน มอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านไปตรวจสอบหลังพบว่า พ่อค้าแม่ค้าที่ขายกะทิในตลาดสดแห่งหนึ่งไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยซึ่งขัดกับคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จึงนำตัวมาส่งพนง.สอบสวนให้เปรียบเทียบปรับ ซึ่งทางพนง.สอบสวน เข้าใจไปว่า มีอำนาจตามกฎหมายควบคุมโรคให้สามารถเปรียบเทียบปรับได้เอง จึงสั่งปรับเป็นเงิน 500 บาท แต่กรณีนี้พนักงานสอบสวน ต้องปรับในอัตราขั้นต่ำเป็นเงิน 6,000 บาท เพราะตามกฎหมายควบคุมโรคติดต่อและตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัด อัตราโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท ดังนั้นพนง.สอบสวนไม่สามารถปรับเป็นเงิน 500 บาทได้ ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ถูกกล่าวหาขอให้พนักงานสอบสวน ทำสำนวนส่งฟ้องศาลแขวง เพื่อให้ศาลฯใช้ดุลยพินิจในการสั่งปรับแทน ซึ่งผู้ถูกกล่าวหา เชื่อว่าน่าจะปรับได้ต่ำกว่าเงิน 6,000 บาท
สำหรับกรณีนี้จึงใช้อำนาจของผู้ผบช.ภ.1 สั่งเพิกถอนการเสียค่าปรับ 500 บาทไปแล้ว โดยให้ส่งศาลฯพิจารณา ไปแล้ว พร้อมตำหนิพนง.สอบสวนที่จะไปโดยพละการ หลังจากนี้จะกำชับไปยังตำรวจภูธร ทั้ง 9 จังหวัด ที่อยู่ในความรับผิดชอบของบช.ภ.1 ให้ปฏิบัติเป็นไปตามแนวทางเดียวกันแล้ว
ส่วนกรณีมีคำถามเกี่ยวกับการขับรถยนต์คนเดียว โดยไม่สวมหน้ากากอนามัยเข้าข่ายความผิดกฎหมายหรือไม่นั้น ซึ่งหากตีความตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ถือว่าผิด เพราะแม้ว่า จะอยู่ในรถยนต์ส่วนตัว แต่คำสั่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ จึงขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตาม เพื่อให้เป็นการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อ จึงไม่ต้องการให้ประชาชนตีความเป็นอย่างอื่น เพราะหากมีความผิดตำรวจก็จำเป็นจะต้องดำเนินคดี
ตำรวจมีการใช้ดุลยพินิจ ไม่ใช่จ้องที่จะเข้าไปจับปรับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่สวมหน้ากากอนามัยอย่างเดียว แต่ดูที่เจตนา หรือกรณีมีการกระทำความผิด หรือได้รับการร้องเรียน ว่ามีการฝ่าฝืนไม่สวมหน้ากากอนามัยบ่อยครั้งในพื้นที่สาธารณะ ตำรวจจึงจะเข้าไปบังคับใช้กฎหมาย