ข่าวที่น่าสนใจ
แต่ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ผมให้ข้อสังเกตดังนี้
1. สะท้อนการไม่สามารถบริหารจัดการความขัดแย้ง
ถึงแม้จะมีผลดีต่อลูกค้ารายย่อย และเป็นผลงานทางบวกของท่านนายกเศรษฐา แต่หนีไม่พ้นว่า เป็นการตอกย้ำความขัดแย้งระหว่างท่านนายกฯ กับผู้ว่าฯแบงค์ชาติ
สรุปแล้ว กลยุทธ์ที่ท่านนายกฯ งัดมาใช้นั้นไม่สำเร็จ ไม่สามารถที่จะโน้มน้าวผู้ว่าฯแบงค์ชาติ ได้คะแนนแค่บางส่วน
2. ไม่มีผลด้านนโยบายการเงิน
การลดดอกเบี้ยดังกล่าวไม่มีผลต่อการลงทุนภาคเอกชน เพราะเป็นเพียงระยะสั้น และไม่ได้ส่งผ่านไปยังดอกเบี้ยระยะเวลาต่างๆ ตลอดเส้น yield curve
ไม่ได้มีผลลดดอกเบี้ยหุ้นกู้แก่บริษัทขนาดใหญ่ หรือเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในระบบ
ท่านนายกฯ จึงยังต้องเดินหน้า พยายาม โน้มน้าวผู้ว่าฯ ให้ปรับนโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นต่อไป งานยังไม่เสร็จ
3. มีผลด้านนโยบายสถาบันการเงิน แต่ไม่ครบวงจร
สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นงานด้านนโยบายสถาบันการเงิน แต่ไม่ครบวงจร
เปรียบเทียบแล้ว มาตรการที่ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐได้เคยเสนอไว้ ให้ดำเนินการเป็นวาระแห่งชาติ แบบครอบคลุมและครบวงจร ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และขับเคลื่อนเป็นกระบวนการต่อเนื่อง นั้น ดีกว่าหลายเท่า
แนวทางนี้ ผมและ ดร.อุตตม สาวนายน ได้เคยแถลงข่าวไว้
ก) เปิดช่องให้แก้ปัญหาแก่ลูกหนี้รายย่อย ด้วยลดเงินต้น haircut ไม่ใช่เฉพาะลดการจ่ายดอกเบี้ย 6 เดือน
ข) ใช้เงินที่นำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นเครื่องมือมาช่วยในการแก้ปัญหาลูกหนี้ เป็นการชั่วคราว 5 ปี
ค) มีมาตรการจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์ควักกระเป๋าจากกำไรสะสมมาช่วยในการลดเงินต้น haircut แก่ลูกหนี้รายย่อย
ง) มีมาตรการจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์ชะลอการบังคับหลักประกันสำหรับลูกหนี้รายย่อยที่ฟ้องคดีเสร็จแล้ว
จ) รัฐบาลช่วยให้ลูกหนี้ SME เข้าถึงเงินทุนในระบบโดยจัดโครงการค้ำประกันหนี้รายย่อยในสัดส่วนที่สูงเป็นพิเศษ
ฉ) รัฐบาลกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม โดยจัดตั้งกองทุนเข้าร่วมลงทุนแบบ venture capital กับภาคเอกชน
ช) รัฐบาลจัดให้ประชาชนทั่วไปมีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น จากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อขายไฟฟ้าให้แก่รัฐบาลในราคาเดียวกับที่รัฐบาลขายไฟฟ้าให้แก่ประชาชน แบบ net metering
ถ้าท่านนายกฯ จะนำไปใช้ เราก็ไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
