นายโจนาธาน พานิคอฟฟ์ ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มความมั่นคงตะวันออกกลางสโคว์ครอฟต์ ของสภาแอตแลนติก สถาบันในสหรัฐ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว cNA ของสิงคโปร์ ต่อการโจมตีของอิหร่าน ที่มีต่ออิสราเอลครั้งล่าสุดว่า อิหร่านกำลังพยายามฟื้นฟูการเตรียมพร้อม สำหรับทำการตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามอย่างแท้จริงแล้ว เพราะอิหร่านต้องการยุติเรื่องนี้ (ก่อนหน้านี้ ทั้งในปี 2010 และปี 2020 นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชาวอิหร่านต่างถูกลอบสังหาร เพื่อบ่อนทำลายความทะเยอทะยานด้านพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งอิสราเอลถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อเหตุ) อิหร่านจึงมีความคิดที่ว่า จำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างโดยตรง และพยายามแสดงให้อิสราเอลเห็นว่า อิหร่านมีความสามารถเหล่านี้ และจะใช้มันหากอิสราเอลไม่หยุดทำเช่นนี้
ขณะที่ ดร.ไซมอน แพรตต์ อาจารย์รัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ของออสเตรเลีย ก็แสดงความเห็นกับ CNA ว่า ในความจริงที่ว่า อิหร่านใช้โดรนชาเฮดที่เคลื่อนที่ช้าๆ นั่นอาจหหมายความว่า อิหร่านคาดการณ์ที่จะให้ขีปนาวุธส่วนใหญ่ ถูกยิงตก เพราะอิหร่านน่าจะต้องการแสดงให้เห็นชัดๆว่า การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของสงครามใหญ่ แต่เป็นอย่างที่อิหร่านบอกนั่นคือ เป็นแบบครั้งเดียวและเสร็จสิ้น
นอกจากนี้ แพรตต์ยังกล่าวถึงโอกาสที่อิสราเอลจะตอบโต้ในอนาคตว่า มีหลายอย่างที่ขึ้นอยู่กับแรงกดดันที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐ มีต่อนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูและรัฐบาลอิสราเอล ทำให้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย ที่จะเห็นอิสราเอลโจมตีทรัพย์สินทางทหารของอิหร่านโดยตรง แต่จะเห็นการโจมตีกลุ่มตัวแทนของอิหร่านเพิ่มมากขึ้น ทั้งกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และในซีเรีย
ด้านไรอัน โบห์ล นักวิเคราะห์อาวุโสในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ของหน่วยสืบราชการลับเรน (RANE) ก็กล่าวกับ CNA ว่า อิสราเอลสามารถตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ได้ เช่น โจมตีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ หรือสถานที่ในอิหร่านซึ่งไม่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อรัฐบาลอิหร่าน โดยที่เป็นเช่นนี้เพราะอิสราเอล ยังอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการทูตขั้นสุดกับสหรัฐ อย่างไรก็ดี ทั้ง 2 ก็มีความเสี่ยงที่จะโจมตีกันแบบเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทั้ง 2 ประเทศไม่มีพรมแดนติดกัน