นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวชี้แจงหลักการและเหตุผลร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 60 ยังไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นจุดยืนสำคัญของพรรค เพื่อทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น และพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาการเมือง ปัญหาโควิด ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาอื่นของประเทศได้ วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเสนอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญร่ายมาตรา โดยที่พรรคประชาธิปัตย์ยกร่างขึ้นที่ 6 ร่างที่เป็นไปตามหลักการ 3 ข้อคือ 1.เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป้ฯประชาธิปไตยยิ่งขึ้น 2 .จะไม่มีการแตะหมวด 1 และหมวด 2 ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 3. 6 ร่างเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นหลัก โดยมี 1.ประเด็นแก้ไขมาตราว่าด้วยสิทธิของประชาชน 4 มาตรา ว่าด้วย สิทธิในกระบวนการยุติธรรม, สิทธิที่ดินทำกิน, สิทธิผู้บริโภค และ สิทธิชุมชน, 2.มาตราว่าด้วยการกระจายอำนาจปกครองท้องถิ่น 3.เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ผิดจริยธรรมของกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยเสนอแก้ 2 มาตรา คือ มาตรา 236 และมาตรา 237 4.เรื่องการแก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5.เรื่องระบบเลือกตั้ง ควรมีบัตร 2 ใบ เพื่อเลือกแยกคนและแยกพรรคได้ ไม่ให้เป็นบัตรใบเดียวเหมือนข้าวต้มมัด
อีกทั้งให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเลือกผู้แทน และเพื่อให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งขึ้น เพราะพรรคการเมืองเข้มแข็งขึ้น และจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และ 6.ประเด็นการแก้ไขมาตรา 272 เรื่องการเลือกนายกรัฐมนตรี จุดยืนพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าส.ว.ยังมีความจำเป็น แต่เมื่อส.ว.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงควรมีอำนาจจำกัดเฉพาะการทำหน้าที่ในการกลั้นกรองกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น ไม่ควรมีอำนาจไปถึงการเลือกนายกฯแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงเช่นส.ส.ได้ ซึ่งการเสนอแก้ไขครั้งนี้เป็นเพียงการย่นระยะเวลาในบทเฉพาะกาล 5 ปีของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้เร็วขึ้น เพื่อกลับสู่หลักการประชาธิปไตยถูกต้องและเร็วขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้กีดกั้นบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพื่อไม่ให้สามารถดำรงตำแหน่งนากยฯได้ต่อไปอีกในอนาคต เพราะหากบุคคนนั้นประสงค์เป็นนายกฯต่อไปก็สามารถนำชื่อไปใส่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองได้ หรือลงสมัครส.ส.ก็ได้ หากสามารถรวมเสียงข้างมากในสภาฯได้ก็ย่อมมีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งนายกฯได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ และถือเป็นการปลดล็อคเงื่อนไขข้อจำกัดและข้อขัดแย้งทางการเมืองได้อีกระดับ
“พรรคประชาธิปัตย์ มีมติสนับสนุนญัตติแก้รัฐธรรมนูญ ทั้ง 13 ฉบับ เพราะมีหลักการที่ใกล้เคียงกัน ส่วนร่างของพรรคพลังประชารัฐที่มีปัญหาต่อมาตรา 144 และมาตรา 185 สามารถแปรญัตติแก้ไขให้เหมาะสมในวาระสอง ทั้งนี้การลงมติสนับสนุนไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แต่คือการแสวงหาความร่วมมือที่ไม่ขัดจุดยืน เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญบรรลุผลสำเร็จ เพราะต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสองสภารวมกัน รวมถึงใช้เสียง 20% ของฝ่ายค้านและเสียง ส.ว. 1 ใน 3 สนับสนุนด้วย” นายจุรินทร์ กล่าว