วันที่ 12 พ.ย. 2564 ที่ สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้มีบรรดาผู้เสียหาย 5-6 คนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิงได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อปรึกษาและแจ้งความดำเนินคดีกับนักธุรกิจสาวอดีตพนักงานธนาคารเอกชนยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งที่หลอกลวง ฉ้อโกง โดยหญิงสาวคนดังกล่าวมีพฤติกรรมหลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจไถ่ถอนปิดยอดหนี้ทรัพย์สินทั้งบ้าน และที่ดินที่ลูกค้านำไปค้ำประกันเงินกู้ไว้กับสถาบันการเงินต่างๆ จนถูกศาลพิพากษาให้บังคับคดีและขายทอดตลาดทรัพย์สิน แต่กลับฉ้อโกงไม่จ่ายเงินส่วนแบ่งตามสัญญา โดยหญิงสาวคนดังกล่าวใช้ภาพของการเป็นพนักงานธนาคารสร้างความน่าเชื่อถือ จนมีผู้หลงเชื่อร่วมลงทุนกว่า 10 คน ๆละหลายล้านบาทรวมค่าเสียหายกว่า 20 ล้านบาท “ในขณะที่ทางพนักงานสอบสวนได้แนะนำให้ไปรวมรวบเอกสาร หลักฐาน และหากจะแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชนควรจะมีผู้เสียหายรวมตัวกันอย่างน้อย 10 คนมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน โดยทางพนักงานสอบสวนจะรวมสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป”
ผู้เสียหายรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับหญิงสาวคนดังกล่าวในฐานะที่เป็นพนักงานธนาคารเอกชนยักษ์ใหญ่ธนาคารหนึ่ง และคบหาสมาคมกันในฐานะเพื่อนมาได้ระยะหนึ่ง หญิงสาวคนดังกล่าวจึงชักชวนตนและเพื่อน ๆร่วมลงทุนนำเงินไปไถ่ถอนทรัพย์สินของบรรดาลูกหนี้ของสถาบันการเงินต่างๆ ที่ถูกฟ้องร้องและศาลมีคำพิพากษายึดทรัพย์ บังคับคดี หรือไถ่ถอน ปิดยอดหนี้ต่าง ๆ ทั้งในสถาบันการเงินและเจ้าหนี้อื่นๆ โดยคิดดอกเบี้ยและค่าดำเนินการในอัตราที่สูง จากนั้นจะนำทรัพย์สินที่ไถ่ถอนไปเป็นขายต่อทำกำไร หรือใช้หลักทรัพย์กู้เงินจากสถาบันการเงินใหม่อีกครั้ง โดยมีกระบวนการวิ่งเต้นจนผ่านการพิจารณาจากผู้บริหารสถาบันการเงิน เมื่อผ่านการพิจารณาได้งินจากธนาคารก็จะหักค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่ตกลงกับลูกหนี้ และนำเงินรายได้ดังกล่าวมาแบ่งปันกันตามที่ตกลง ในระยะแรกๆ หญิงสาวคนดังกล่าวจะจ่ายส่วนแบ่งทำให้ผู้ร่วมลงทุนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ เพื่อสร้างภาพและความน่าเชื่อถือเขาและสามีพยายามไปถ่ายภาพโพสกับรถยนต์ป้ายแดงหรูๆ บ้านหลังใหญ่ๆ ระบุว่าซื้อบ้านใหม่ ซื้อรถยนต์ใหม่ เที่ยวกินอาหารสุดหรูพร้อมเปิดออฟฟิตหรูริมถนนทางไปปากนคร ต.ท่าซัก นอกจากนี้ยังนำเงินที่ได้จากการร่วมลงทุนไปเปย์ขยับตำแหน่งให้กับสามีจนสามารถขยับขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่ง เพื่อความความน่าเชื่อถือมากขึ้น จนมีผู้หลงเชื่อร่วมลงทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้เสียหายรายเดิมกล่าวอีกว่า แต่มาในระยะหลังหญิงสาวรายนี้เริ่มไม่จ่าย จ่ายไม่ครบ โดยในแต่ละเคสจะอ้างไปต่างๆ นาๆ อาทิ อ้างว่ารายได้ในเคสนี้จะนำไปลงทุนในเคสต่อๆ ไป จนเงินทุนสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตนและผู้ร่วมลงทุนได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันทำให้ทราบว่าทุกคนตกมีสภาพไม่แตกกันกันคือโดนหลอกและฉ้อโกงในลักษณะเดียวกันมาตลอด จึงรวมตัวกันเรียกร้องให้สาวมหาภัยคนดังกล่าวจ่ายคืนเงินที่ร่วมลงทุน เนื่องจากทุกคนไปกู้เงินเขามาลงทุนร่วมทำธุรกิจจนกลายเป็นหนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ทุกเดือน อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการจ่ายเงินคืนแต่อย่างใด จนผู้ร่วมลงทุนบางรายได้ว่าจ้างทนายความยื่นฟ้องต่อศาลความผิดทั้งในคดีแพ่งและอาญาเรื่องอยู่ในกระบวนการพิจารณาในชั้นศาล ทราบว่าทางผู้บริหารธนาคารที่สาวมหาภัยรายนี้ทำงานอยู่รับรู้ข้อมูล และเกรงความเสื่อมเสียจะเกิดขึ้นกับธนาคารได้ จึงขอให้พนักงานสาวคนดังกล่าวเซ็นหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานธนาคารแล้ว แต่ในการสร้างความน่าเชื่อถือหญิงสาวรายนี้ยังอ้างเป็นพนักงานธนาคารในการสร้างความน่าเชื่อถือเหมือนเดิม ” สำหรับการรวมตัวกันเพื่อมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งเป็นความผิดอาฐาน มีโทษสูงหวังจะบีบคั้นกดดัน ให้สาวมหาภัยรายนี้ยินยอมจ่ายเงินที่ผู้เสีบยหายร่วมลงทุนคืน โดยจะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาจนถึงที่สุด.
ไพฑูรย์ อินทศิลา ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.นครศรีธรรมราช