เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี หรือ อันเฟรล (ANFREL) หนึ่งในคณะผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งต่างชาติที่ได้รับการรับรอง ระบุว่า การเลือกตั้งในเมียนมาร์ครั้งนี้มีความยุติธรรมและเป็นเสรี ไม่เหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2558 แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ประชาชนยังออกไปใช้สิทธิ์กันถึง 27.5 ล้านคน ซึ่งเสียงจำนวนมากมายของประชาชนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกเพิกเฉยไม่ได้
การทำรัฐประหารครั้งนี้ ทางกองทัพเมียนมาร์อ้างว่า พบการทุจริตเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่พรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี (NLD) ของนางอองซาน ซูจี ได้รับชัยชนะเหนือพรรคที่ให้การสนับสนุนกองทัพ ซึ่งทางกองทัพได้เคยแจ้งข้อกล่าวหานี้ไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้ว แต่กกต.ก็เพิกเฉย ทางกองทัพจึงต้องเข้าทำการยึดอำนาจแล้วจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 2 ปี
อันเฟรลซึ่งเข้าไปสังเกตการณ์ในเมียนมาร์จำนวน 13 รัฐกล่าวว่า เหตุผลการยึดอำนาจของกองทัพเมียนมาร์นั้นเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ก่อนหน้านี้ ก็มีความเห็นของศูนย์คาร์เตอร์เซ็นเตอร์ของสหรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มสังเกตการณ์การเลือกตั้งนานาชาติได้เคยกล่าวว่า การเลือกตั้งในเมียนมาร์ที่ผ่านมา ผู้ลงคะแนนจะต้องสามารถแสดงความจำนงค์ของตนได้อย่างเสรี
การรัฐประหารครั้งนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายในเมียนมาร์ ประชาชนเดินขบวนประท้วงทุกวัน กลุ่มต่อต้านรัฐประหารเกิดขึ้นมากมาย นักเคลื่อนไหวเผยว่า กองทัพได้สังหารพลเรือนไปแล้วอย่างน้อย 796 คนนับตั้งแต่มีการรัฐประหาร แต่ทางกองทัพปฏิเสธตัวเลขดังกล่าว
ด้านกระทรวงการคลังสหรัฐ ได้ทำการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่อาวุโสของเมียนมาร์และสมาชิกในครอบครัว 16 คน โดยรายชื่อเหล่านั้นมีสมาชิกสภาบริหารแห่งรัฐของรัฐบาลทหารจำนวน 4 คน รัฐมนตรีจำนวน 7 คน รวมถึงประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ควบคุมโดยทหารและผู้ว่าการธนาคารกลางเมียนมาร์ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ว่ารัฐบาลทหารของเมียนมาร์ ที่กำลังปราบปราบกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศ ต้องรับผิดชอบต่อการโจมตีประชาชนที่มีอย่างรุนแรงและเสียชีวิตมากมาย นอกจากสหรัฐแล้ว ทางแคนาดาและอังกฤษได้ประกาศมาตราการคว่ำบาตรกับรัฐบาลทหารเมียนมาร์เช่นกัน