จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ คิดอย่างไร จะเอาไงต่อกับพรรคพลังประชารัฐ หลังเกิดปัญหาขบวนการเลื่อยขาแจกกล้วยพรรคเล็กวางแผนคว่ำนายกฯ ถึงขั้นแตกหักปลด 2 รมต.คนสำคัญของพรรคพลังประชารัฐพ้นรัฐบาล หนึ่งคือร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ อีกหนึ่งคือนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน มีตำแหน่งเป็นเหรัญญิกพรรค ส่งผลให้รัฐบาลสั่นคลอนหลังแกนนำพรรคหลักที่สนับสนุนรัฐบาลถูกนายกฯปลดฟ้าผ่า แบบที่ไม่อาจกลับมาจูบปากคืนดีกันได้ในเร็ววัน มีการวิเคราะห์หนทางของพล.อ.ประยุทธ์จะทำอย่างไรไปต่อแบบไหนดี หลังเกิดเหตุการณ์ร้าวลึกแบบนี้
แนวทางแรกคือพล.อ.ประยุทธ์ผ่าทางตันปลดโซ่ตรวนปลดแอกจากพรรคพลังประชารัฐ ไม่ต้องง้อไม่ต้องคืนดีไม่ต้องหวังพึ่งพรรคนี้อีกต่อไป ไหนๆมาถึงตรงนี้แล้วก็แตกหักกันไปเลยจากนั้นก็ไปตั้งพรรคใหม่ ประกาศรับสมาชิกรับส.ส.ใหม่ งานนี้เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์คงคิดเรื่องนี้ไว้บ้างแน่ เพราะคงอึดอัดกับสถานการณ์ขณะนี้พอควร เดินต่อก็ไม่ได้ถอยหลังก็ไม่ดี ด้วยเหตุนี้แนวทางตั้งพรรคใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่าลืมว่าพล.อ.ประยุทธ์ก็เป็น “ดาวฤกษ์” มีแสงมีพลังมีของในตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปง้อผู้แทนไปอ้อนวอนส.ส.ให้มาอยู่ด้วย ลำพังประกาศจะตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาสู้ก็เชื่อว่าบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดคงตาลุกวาว อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้โอกาสก็มี ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวเรื่องพรรคปลัดฉิ่งของนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดมหาดไทยที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ทำไปทำมาอาจกลายเป็นทางเลือกใหม่เป็นพรรคที่จะมาสนับสนุนมาชูพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯคนใหม่ก็อาจเป็นไปได้ แถมงานนี้มีพี่กลางอย่างพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยเป็นกองหนุนอยู่แล้ว ทางเลือกนี้ก็อาจมีความเป็นไปได้ แม้จะต้องหาเงินใช้กระสุนดินดำมากมายมหาศาลก็ตามทีหากคิดจะตั้งพรรคเอง แถมโพลล์นิด้าล่าสุดก็ดูเหมือนคนกรุงจะไม่เห็นด้วยหากพล.อ.ประยุทธ์จะตั้งพรรคใหม่ขึ้นมา
ที่สำคัญยังต้องลุ้นให้ผ่านเงื่อนไข รัฐธรรมนูญ ม.159 ที่ระบุว่า ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ จากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม ม.160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตาม ม.88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร การเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรคือพรรคที่เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ต้องได้ส.ส.มากกว่า 25 คน จากส.ส.500 คนในสภา และต้องมีเสียงสนับสนุนอีก 50 คนที่ยกมือรับรอง
แนวทางต่อมาคือเข้าไปแทรกแซงเข้าไปยึดพรรคพลังประชารัฐ หลังจากที่ปล่อยให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ 3 ป. ดูแลพรรคมานาน ฝากเลี้ยงผู้แทนดูแลส.ส.มาพักใหญ่แล้ว แต่การเข้ามายึดพรรคก็มีสองแบบ แบบแรกคือแตกหักกันไปเลยคือเดินเกมส์ล็อบบี้กรรมการบริหารให้ได้เสียงข้างมาก จากนั้นก็เสนอเรื่องถึงกกต.ขอจัดประชุมใหญ่ แล้วก็เลือกหัวหน้าพรรค เลือกเลขาธิการพรรค เลือกกรรมการบริหารพรรคใหม่ สูตรนี้ก็เหมือนตอนที่พล.อ.ประวิตรเข้ามาครองอำนาจและปลดก๊วน 4 กุมารพ้นพรรคพลังประชารัฐจากนั้นก็ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแทน อาจจะดูโหดร้ายไปหน่อยเพราะปลายทางอาจต้องให้พล.อ.ประวิตรไปพักผ่อนกลับไปอยู่บ้าน
แบบที่สองก็คือใช้สายใยพี่น้องปิดห้องคุยแบบ 3 ป. ขอพล.อ.ประวิตรขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทน แนวทางนี้อาจให้พล.อ.ประวิตรถอยออกไปอาจขยับขึ้นไปเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคแขวนขึ้นหิ้งให้ส.ส.เคารพบูชาเป็นสัญลักษณ์ของพรรค แม้จะยังอยู่ในพรรคแต่ไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาดอะไรแค่อยู่เป็นกำลังใจให้พล.อ.ประยุทธ์ แบบที่สามคือประนีประนอมคืออยู่กันแบบนี้ต่อไป พล.อ.ประวิตรก็เป็นหัวหน้าพรรคไป พล.อ.ประยุทธ์ก็อยู่ข้างนอกเป็นนายกฯแบบนี้ต่อไป แต่อาจบริหารอำนาจในพลังประชารัฐผ่านตัวแทนผ่านกรรมการบริหารพรรคที่เป็นร่างทรงเป็นคนของตัวเองที่ไว้วางใจได้ เช่นนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือใครก็ตามแต่ในอนาคตที่ปวารณาตัวเข้ามาเป็นสายตรงไทยคู่ฟ้าขึ้นตรงกับนายกฯ
แนวทางที่สามหาพรรคใหม่ที่มีอยู่ตอนนี้เข้ามาสนับสนุน เสนอชื่อเป็นนายกฯแทนพรรคพลังประชารัฐ ฟังดูแล้วแปลกใครจะเสนอชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่หัวหน้าพรรคตัวเองที่เป็นคนอื่นเป็นคนนอกพรรคขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ นอกจากนี้ในรัฐธรรมนูญยังเปิดช่องให้แต่ละพรรคเสนอบัญชีนายกฯได้ถึง 3 คน โดยไม่ต้องผูกพันกับพรรคหรือเป็นสมาชิกพรรคแต่อย่างใด ยกตัวอย่างปัจจุบันพล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแต่ก็ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกฯได้ ตรงนี้ก็อาจเป็นช่องให้พล.อ.ประยุทธ์ไปต่อก็เป็นได้ แต่พรรคนั้นก็ต้องผ่านเงื่อนไข ร้อยละ 5 ของ รัฐธรรมนูญ ม.159 เช่นกัน
แนวทางสุดท้ายบริหารประเทศไปจนถึงวันสุดท้าย ดูแลชาวบ้านให้เต็มที่ปกป้องสถาบันให้เต็มกำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติ ถึงตอนนั้นถ้ามันไม่ไหวไปต่อไม่ได้จริงๆ หมดวาระพ้นตำแหน่งนายกฯในช่วงต้นปี พ.ศ. 2566 พล.อ.ประยุทธ์ก็ประกาศพอแล้วหยุดแล้วไม่เอาแล้วเหมือน “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ขอพักผ่อนขอกลับบ้านที่เหลือก็ให้พวกพี่ๆเขาว่าเขาเล่นกันเอง ปิดฉากหัวหน้าคณะรัฐประหาร นายกฯ 2 สมัย แบบผมพอแล้วไม่เอาแล้ว จากนั้นก็เดินกลับบ้านแบบเท่ห์ๆ ส่วนอนาคตชีวิตจะเป็นอย่างไรจะไปต่อทางไหนก็แล้วแต่บุญกรรมที่่ทำมา
////////////////
