นับถอยหลัง ศึกชิงปธ.สภาฯ เกมในมือใคร

นับถอยหลังเส้นตาย 48 ชั่วโมงศึกชิงตำแหน่งตำแหน่งประธานสภาฯเพื่อไทย-ก้าวไกลไม่มีวันได้ข้อยุติหลังการประชุม 8 พรรคการเมืองปิดจ็อบไม่ได้ เจาะลึกเกมในมือเพื่อไทยถือแต้มต่อเหนือก้าวไกล จับตาฉันทามติ 40 เสียงพลังประชารัฐ พร้อมท่าที “ลุงป้อม-ธรรมนัส” จับมือเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วหรือไม่

 

การประชุม 8 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลในวันที่ 2 กรกฎาคม 2566 จบลงไปตามความคาดหมายเหมือนที่ผ่านมาทุกครั้งเช่นเคย คือ การช่วงชิงตำแหน่งประธานสภาฯระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถได้ข้อยุติเช่นเดิม ซึ่งขณะนี้ทั้งสองพรรคเหลือเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมงในการนับถอยหลังเพื่อสะสางเรื่องดังกล่าวให้จบสิ้นก่อนวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเสนอชื่อประธานสภาฯหลังจากรัฐพิธีเปิดสภาในวันที่ 3 กรกฎาคม 2566

 

 

ทั้งนี้การประชุม 8 พรรคการเมืองที่ผ่านมาปรากฎร่องรอยของความขัดแย้งระหว่างก้าวไกลและเพื่อไทย โดยเฉพาะการแถลงข่าวของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ออกมาระบุว่า วันนี้ยังไม่มีการหารือเรื่องตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องรอให้พรรคเพื่อไทยได้ประชุมเพื่อหาข้อยุติในวันที่ 3 ก.ค.นี้ก่อน แต่มั่นใจว่าจะได้ข้อสรุปที่ดีและสามารถจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคต่อไปได้ อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามในประเด็นหากพรรคเพื่อไทยยอมให้ประธานสภา และหากนายพิธาไม่ผ่านส.ว. จะให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่นั้น นายพิธาไม่ได้ตอบคำถามนี้ก่อนจะอ้างว่า ขอโฟกัสเรื่องนี้ก่อน ไม่อยากเปิดประเด็นใหม่

ข่าวที่น่าสนใจ

 

เช่นเดียวกับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ออกยืนยันว่า คณะเจรจา 2 ฝ่าย ได้แจ้งความคืบหน้าในการหารือกันอย่างไม่เป็นทางการให้ที่ประชุมรับทราบ แต่เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีกระบวนการทำงานหลากหลายของคนที่มาทำงานร่วมกันมากมาย และมีความเห็นต่างมากกับการทำงานภายในพรรคที่ต้องอาศัยข้อบังคับพรรค ซึ่งเป็นกระบวนการภายใน และเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องฟังความเห็นของสมาชิกพรรค เราจึงแจ้งต่อที่ประชุมในวันเดียวกันนี้ว่าจะต้องมีการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของพรรคเพื่อไทย เป็นการภายในในวันที่ 3 ก.ค.นี้

 

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจกล่าวได้ว่าตำแหน่ง “ประธานสภาฯ” จะไม่มีทางปิดจ็อบได้อย่างแน่นอน โดยที่สามารถบอกว่าการช่วงชิงประธานสภาฯจะไม่มีวันได้ข้อยุติก็คือ ท่าทีของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึง ณ เวลานี้เป็นสิ่งที่บอกชัดเจนได้ว่าทั้งคู่ “ยอมหักไม่ยอมงอ” โดยเฉพาะข้ออ้างล่าสุดของหมอชลน่านที่ออกมาพูดถึงกระบวนการภายในพรรคเพื่อไทยที่มีการทำงานหลากหลาย และมีความเห็นต่างมากกับการทำงานภายในพรรคที่ต้องอาศัยข้อบังคับพรรค หรือแม้กระทั่งกรณีพรรคก้าวไกลมีมติความเห็นเสนอชื่อ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล เป็นประธานสภาฯ ซึ่งการส่งนายปดิพัทธ์เข้าประกวดย่อมถือเป็นการยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมว่า “ก้าวไกล” พร้อมสู้

 

 

ถอดรหัสการเมืองตอนนี้เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเล่นเกมบีบพรรคก้าวไกลไปจนสุดทาง เพราะรู้ดีกว่าถือไพ่ในมือเหนือกว่าทุกประตู โดยเฉพาะสถานการณ์ของนายพิธา และพรรคก้าวไกลถือว่าลูกผีลูกคน ไม่ว่าจะเป็นคำร้องเรื่องคุณสมบัติการเป็น ส.ส.กรณีการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธาที่ กกต.กำลังเร่งสอบสวนตามความผิดตามมาตรา 151 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และหากกกต.เห็นว่านายพิธากระทำผิดจริงก็จะส่งเรื่องให้ศาลวินิจฉัย และหากทำผิดจริงนายพิธาต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ตามด้วการถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี และถูกริบเงินเดือนั้หมด

 

นอกจากนี้ยังมีคำร้องของนายเรืองไกร กิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐที่ส่งเรื่องให้กกต. พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญกรณีสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายพิธาสิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ซึ่งเรื่องนี้หากเรื่องไปถึงมือศาลรัฐธรรมนูญเมื่อใด นายพิธาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หากศาลรัฐธรรมญูฯเห็นว่าปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่านายพิธามีพฤติกรรมตามคำร้องไปจนกว่าจะมีคําวินิจฉัย และหากศาลวินิจฉัยว่ากระทำผิดจริงนายพิธาต้องพ้นจากสมาชิกภาพ ส.ส.ตั้งแต่วันที่หยุดหน้าที่

ขณะเดียวกันยังมีคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นขอให้อัยการสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของนายพิธาและพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ…. เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นการใช้สิทธิเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49

 

ที่สำคัญยังมีขวากหนามสำคัญที่เพื่อไทยและก้าวไกลตระหนักดีว่า นายพิธาจะไม่มีวันผ่านกระบวนการโหวตนายกรัฐมนตรีที่ต้องฝ่าด่านสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.ในการยกมือสนับสนุนเพื่อให้ได้เสียงของสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภารวมกันเกินกึ่งหนึ่งด้วยจำนวน 376 เสียง ซึ่งตรงนี้เป็นที่แน่ชัดว่า ส.ว.ส่วนใหญ่จะไม่ยกมือให้นายพิธา เนื่องจากพรรคก้าวไกลมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งหากนายพิธาไม่ผ่านกระบวนการนี้จึงเท่ากับว่าตกสวรรค์ตั้งแต่เริ่มต้น

 

จากกระดานการเมืองที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ทั้งเพื่อไทย และก้าวไกลรู้ดีว่า ประธานสภาฯเป็นตำแหน่งสำคัญที่ต้องยึดไว้ให้ได้ เพราะตามกฎหมายรัฐธรรมนูญประธานสภาฯเป็นผู้ทูลเกล้าเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้เพียงคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งเป็นผู้กำหนดวาระต่าง ๆ รวมถึงกฎหมายต่าง ๆ ที่จะนำเข้าสู่สภา ดังนั้นการได้ตำแน่งประธานสภาฯจึงเป็นสิ่งที่ทั้งสองพรรคจะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะมันคือ “แก้วสารพัดนึก” หากตกอยู่ในมือของใคร

 

ขณะเดียวกันต้องจับสถานการณ์อีกด้านหนึ่งที่อาจเป็นตัวสอดแทรกทำให้การเมืองไทยอาจพลิกผันข้ามขั้ว เพราะในวันเดียวกันที่ 8 พรรคการเมืองนัดประชุมเพื่อหาข้อยุติเเรื่องประธานสภาฯ ปรากฎว่า พรรคพลังประชารัฐจัดปฐมนิเทศ ส.ส.ใหม่ โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐให้สัมภาษณ์กรณีการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฏรในทำนองว่า ใครได้เสียงข้างมากในทางการเมืองก็ดำเนินการตามขั้นตอนกันไป อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจกว่าคือเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขั้วทางการเมืองต่างพรรคจะสามารถจับมือกันได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าวเพียงแต่ส่ายหน้าเท่านั้น

 

 

 

สอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เมื่อถูกสื่อมวลชนถามถึงตำแหน่งประธานสภาฯ โดยร.อ.ธรรมนัส ระบุว่าอย่าไปเน้นกับตัวบุคคลจนกว่าจะเห็นว่า พรรคไหนเสนอใครบ้าง สุดท้ายพล.อ.ประวิตร จะคุยกับกรรมการบริหารพรรคและออกมาเป็นฉันทามติ และ 40 เสียงจะโหวตไปในทิศทางเดียวกันแน่นอน

 

ขณะเดียวกันเมือผู้สื่อข่าวถามถึงการจับมือระหว่างพรรคเพื่อไทยและ พลังประชารัฐมีความเป็นไปได้หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่า ณ เวลานี้ยังไม่มีการพูดคุยหรือมีดีลลับอะไรอย่างที่เป็นข่าว ยังไม่มีข้อเท็จจริงอะไร

 

จับภาษากายของ พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัสที่ออกมาให้สัมภาษณ์โดยไม่ได้ออกมาปฏิเสธหรือยอมรับเรื่องการจับมือกับเพื่อไทยมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พลังประชารัฐยังเป็นตัวแปรสำคัญที่อยู่ในเกมการจัดตั้งรัฐบาลแบบพลิกข้ามขั้วกับเพื่อไทย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพลังประชารัฐตกเป็นข่าวในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งด้วยซ้ำไป และมาถึงวันนี้ข่าวการจับขั้วพลังประชารัฐและเพื่อไทยดูเหมือนจะโหมแรงขึ้นทุกวัน และที่สำคัญตั้งแต่หลังการเลือกตั้งยังไม่มีแกนนำทั้งเพื่อไทยและพลังประชารัฐออกมาปฏิเสธเรื่องการจับขั้วของสองพรรคแต่อย่างใด ดังนั้นจึงต้องจับตามองสถานการณ์ของพลังประชารัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ 40 เสียงที่ ร.อ.ธรรมนัสย้ำหนักหนาว่า จะเป็นไปในทางทิศเดียวกันว่า จะเทให้ใคร

 

จากบริบทดังกล่าวจึงเชื่อว่า การประชุมของพรรคเพื่อไทยในวันที่ 3 กรกฏาคม เพื่อหาข้อยุติในตำแหน่งประธานสภาฯ คงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม เพราะงานนี้เพื่อไทยมีไพ่ในมือให้เล่นได้หลายหน้ามากกว่าก้าวไกลที่ตกเป็นรองอย่างชัดเจน…?

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"สันติสุข" เทียบเจ็บ "ฮุน เซน" เหมือนคนคลั่งยา จับสมาชิกครอบครัวเป็นตัวประกัน ปลุกระดมทะเลาะไทย พาคนในชาติเดือดร้อนทั่วหน้า
วธ.เตรียมจัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย กลางใจกรุงเทพฯ มางานเดียวเหมือนได้เที่ยวทั่วไทย
เพื่อไทยกร้าวสุด "สส.อีสาน" เล่นใหญ่ เสนอกลางวงประชุมพรรค ลั่นถึงเวลาทวง "มหาดไทย" คืน
กลาโหมกัมพูชากล่าวหาไทยละเมิด MOU 2543
สถานทูตในอิหร่านเตือนคนไทยออกจากเตหะราน
ครม. เห็นชอบแต่งตั้ง "เกษร" เป็นผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
อิสราเอลขู่คาเมเนอีระวังมีชะตากรรมเหมือนซัดดัม
ศน. ประกาศผลประกวดบรรยายธรรมระดับประเทศ 24 เยาวชนคนเก่ง รับโล่พระราชทาน "กรมสมเด็จพระเทพฯ"
“ไพบูลย์” ย้ำพปชร.ไม่ร่วมรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” หาก “ภูมิใจไทย” ถอนตัวจากพรรคร่วม
สร.รฟท. ลงพื้นที่อีสาน ให้กำลังใจทหาร "ตาเมือนธม" คารวะทำหน้าที่ ปกป้องอธิปไตยแผ่นดิน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น