ผู้ป่วย “อัมพาต” จบชีวิตด้วยความช่วยเหลือจากแพทย์ เป็นคนแรก
- เผยแพร่ : 18/06/2022 11:58
กดติดตาม TOP NEWS
ผู้ป่วย "อัมพาต" วัย 44 ปี ตัดสินใจจบชีวิตตัวด้วยความช่วยเหลือทางการแพทย์ เป็นคนแรกของอิตาลี
ข่าวที่น่าสนใจ
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เฟเดอริโค คาร์โบนี ชายวัย 44 ปี ชาวอิตาลี ตัดสินใจจบชีวิตที่แสนทรมานจากอาการ “อัมพาต” ตั้งแต่คอลงมานานกว่า 12 ปี ด้วยความช่วยเหลือจากทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมายเป็นคนแรกของอิตาลี
คาร์โบนีเป็นพนักงานขับรถบรรทุก แต่ประสบอุบัติเหตุเมื่อ 12 ปีก่อน จนทำให้ร่างกายไม่สามารถขยับได้ตั้งแต่คอลงมา แน่นอนว่าที่ผ่านเขาต้องทุกข์ทรมานกับอาการดังกล่าวเป็นอย่างมาก เขาจึงมีเป้าหมายจบชีวิตตัวเองเพื่อยุติความทรมานที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่า การช่วยชีวิตผู้อื่นจชีวิตในอิตาลีจะผิดกฎหมาย แต่ทางศาลรัฐธรรมนูญของประเทศได้ตัดสินในปี 2019 ให้มีการจบชีวิตด้วยความช่วยเหลือทางการแพทย์ (assisted suicide) อย่างถูกกฎหมายได้ แต่มีเงื่อนไขที่เข้มงวด คือ
- ผู้ร้องต้องมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน
- ต้องป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้
- ต้องเป็นโรคที่ทำให้ทุกข์ทรมานทางกายและจิตใจ
- และต้องเป็นผู้ที่อยู่ในระหว่างการรักษาพยุงชีพเท่านั้น
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ราบรื่น เขาต้องเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ ทั้งเรื่องระบบราชการ การเงิน และโดยเฉพาะเรื่องกฎหมาย เขาต้องขึ้นศาลอยู่หลายครั้งเพื่อเปิดช่องให้แพทย์และคณะกรรมการจริยธรรมในท้องที่มาเข้าเยี่ยมตัวเขาได้ เพื่อยืนยันสถานะทางสุขภาพและจิตใจ ให้เข้าเงื่อนไขตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ในที่สุด เขาก็ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรม แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องเงิน เนื่องจากค่าใช้จ่ายยังขาดอีก 5,000 ยูโร (ประมาณ 185,000 บาท) ที่จะใช้ใช้การจัดยาและอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งทางสมาคมลูกา คอสซิโอนี (Luca Coscioni Association) ได้ให้ความช่วยเหลือช่วยกันระดมทุน
และเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา เขาก็ได้จบชีวิตตัวเองลง ท่ามกลางครอบครัวและคนสนิทที่อยู่ข้าง ๆ จนถึงวาระสุดท้าย โดยทางสมาคม ลูกา คอสซิโอนี ได้แถลงการณ์เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ พร้อมอ่านจดหมายอำลาของเฟเดอริโค คาร์โบนี ซึ่งมีใจความหนึ่งระบุว่า “ตอนนี้ผมเป็นอิสระ จะบินไปที่ไหนก็ได้ที่อยากไปได้แล้ว”
หลังจากนั้นทางสมาคมลูกา คอสซิโอนี ซึ่งเป็นองค์ที่รณรงค์เรื่องสิทธิการการุณยฆาตในอิตาลีมาโดยตลอด ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราจะสู้ต่อไป เพื่อให้การขัดขวางและการละเมิดเจตจำนงของผู้ป่วยคล้ายคลึงกับกรณีนี้ต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
