วันนี้(17 มิ.ย.) จากกรณีที่โลกออนไลน์ ได้มีการแชร์กรณีที่แม่ค้าขายน้ำส้ม รายหนึ่ง โพสต์ภาพข้อความว่า ถูกเจ้าหน้าที่สรรพากรล่อซื้อ น้ำส้ม 500 ขวด แถมโดนปรับอีกนับหมื่นบาท ตามที่รายงานไปแล้วนั้น
ตลอดทั้งวัน ผู้สื่อข่าว TOPNEWS ติดต่อไปหาเจ้าของร้านน้ำส้ม พบร้านปิด และผู้สื่อข่าวพยายามโทรสอบถาม แต่พบว่าทางเจ้าของร้านไม่รับมีการรับสายแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อกับ คุณเมย์ (นามสมมุติ) ทางโทรศัพท์ ที่เคยเป็นลูกค้ากับทางเพจ EASY EAT โดยคุณเมย์ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ตนเองไม่ได้รู้จักกับทางเพจ หรือเจ้าของร้านขายน้ำส้มเป็นการส่วนตัว แต่รู้จักผ่านทางเพจของร้านน้ำส้ม เนื่องจากตนเองกำลังหาซื้อน้ำส้มมารับประทาน โดยตนเองทำการสั่งซื้อน้ำส้มจากทางร้านครั้งแรกเมื่อปีก่อน เมื่อซื้อมาชิมแล้วรสชาติดี ตนเองจึงสอบถามราคาซื้อในราคาปลีกพบว่ามีราคาที่ไม่สูง ตนเองจึงสั่งซื้อน้ำส้มเพื่อที่จะนำมาขายที่ร้านของตนเอง อีก 2-3 ครั้ง แต่ก็ต้องหยุดสั่ง เนื่องจากขายไม่ค่อยดี ส่วนที่ผ่านมาตนเองไม่เคยสอบถามถึงเรื่องของการผ่านอย.หรือมอก.จากทานร้าน แต่ด้วยรสชาติที่อร่อย และสั่งซื้อได้ง่าย ตนเองจึงไม่ได้สนใจเรื่องความปลอดภัยของสินค้า แต่เท่าที่เคยสังเกตที่ข้างกระป๋องของผลิตภัณฑ์ จำได้ว่ามีสัญลักษณ์การผ่านอย.อยู่จึงไม่ได้กังวลอะไร ส่วนกรณีที่ทางรัฐเข้าไปทำการล่อซื้อและเรียกเก็บเงินจากทางร้าน ตนเองก็พอจะได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว และมองว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ เข้าใจว่าเป็นการทำตามหน้าที่ แต่การล่อซื้อสินค้าในจำนวนมากขนาดนี้ และเรียกเก็บค่าปรับเหมือนจงใจจะกลั่นแกล้งประชาชน เพราะสถานการณ์ในตอนนี้งานก็หายาก จะหาอาชีพเสริมที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็ยากไม่แพ้กัน แต่มาเจอเจ้าหน้าที่กลั่นแกล้งแบบนี้ ก็เกินกว่าเหตุ แต่หากทางร้านมีความผิดทางร้านเองก็ต้องยอมรับในความผิดของตนเองที่ไม่ทำตามระเบียบของกรมสรรพสามิตด้วยเช่นกัน
ด้านนายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุม ทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ที่มาของการที่เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบร้านค้าดังกล่าว เนื่องจากได้รับแจ้งจากผู้ประกอบการร้านค้าที่จำหน่ายน้ำส้มรายอื่น ที่ทำการจดทะเบียนผู้ประกอบการ และผ่านการตรวจอย.เรียบร้อยแล้ว และเกิดความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเท่าเทียม จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบ แต่ทั้งนี้ก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 คน กระทำการเกินกว่าเหตุหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ได้มีคำสั่งย้ายกลับไปอยู่ที่สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 10 เพื่อป้องกันไม่ให้มีส่วนในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และอยากให้ประชาชนทำความเข้าใจว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการล่อซื้อ เพราะไม่ได้มีการจับกุมหรือดำเนินคดี แต่เมื่อเห็นหลักฐานของกลาง ก็ได้แนะนำให้ทางร้านไปทำการจดทะเบียนเป็นผู้กระการอุสาหกรรม และลงทะเบียนเพื่อให้อย.ตรวจสอบคุณภาพสินค้า ซึ่งหากทำการจดทะเบียนและผ่านการตรวจจากอย.ก็อาจจะไม่ต้องเสียภาษีผู้ค้า ส่วนค่าเรียกปรับ 12,000 ยืนยันว่ายังไม่ได้มีการเรียกเก็บเงินจากทางร้าน แต่เป็นการแจ้งจำนวนเงินที่จะเป็นค่าประเมินจากการเสียภาษีของสินค้าทั้ง 500 ขวด ซึ่งตีเป็นจำนวนเงิน 1,200 บาท แต่หากทางร้านเตรียมไว้เพื่อจำหน่ายก็จะต้องเสียค่าเทียบปรับเป็น 10 เท่า เพราะสินค้ายังไม่ได้ทำการจดทะเบียน ดังนั้นการเข้าตรวจสอบในตอนนั้น ณ ตอนนี้ควรเรียกว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อตรวจแนะนำ เพราะยังไม่ได้มีการดำเนินคดีกับทางร้าน และยังไม่ได้เรียกรับเงินจากทางร้านตามที่สังคมเข้าใจผิด