หญิงสาว เล่าประสบการณ์ หลัง ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เผย อาการค่อนข้างรุนแรง ไม่ใช่ “รุนแรง” บอก ปกติเป็นคนที่แพ้ยาอย่างมากอยู่แล้ว ชี้ ไม่ได้โทษใครทั้งสิ้น รอบหน้า เข็ม 2 อยากเลือกที่ รพ. เพราะมีอุปกรณ์ครบ และขอขอบคุณแพทย์ทุก ๆ คนที่ช่วยเหลือ
จากกรณีที่มี หญิงสาวรายหนึ่ง แชร์ประสบการณ์ หลังไปฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาว่า มีอาการวิงเวียนศีรษะ อาเจียน ปวดแขน(ข้างที่ฉีด) หน้ามืด อ่อนเพลีย ก่อนจะถูกส่งตัวไปพักรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่ง แพทย์ ระบุว่า มีผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนค่อนข้างรุนแรง
ซึ่งวันนี้ (9มิ.ย.) ทีมข่าว Top News ได้ติดต่อไปหาหญิงคนดังกล่าว เพื่อสอบถามความคืบหน้าของอาการ ทราบชื่อว่า น.ส.ภัคคภัสส์ ธนเรืองวรทวี อายุ 31 ปี โดย เธอเล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปฉีดวัคซีน โดยก่อนที่จะฉีดวัคซีน ตนได้นำเอกสารการแพ้ยา อาทิ ยาแก้อักเสบ เป็นต้น ไปยื่นให้กับหมอพิจารณาว่า ตนสมควรจะรับวัคซีนหรือไม่ ซึ่งหมอแจ้งว่า สามารถฉีดวัคซีนได้ ไม่น่าจะมีเอฟเฟกใด ๆ เกิดขึ้น ตนจึงตัดสินใจฉีด หลังจากที่ ฉีดเสร็จเรียบแล้ว ก็จะต้องรอดูอาการ 30 นาที ซึ่งระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ รพ.สนาม ได้เอาสติกเกอร์ มาติดให้ แล้วก็แนะนำให้ไปนั่งรอดูอาการใกล้กับแพทย์ฉุกเฉิน
หลังจากนั้น ประมาณ 10 นาที ตนก็รู้สึกแน่นหน้าอก และหายใจติดขัด หมอเลยสั่งให้ตนไปนั่งพักในพื้นที่ฉุกเฉิน หลังจากนั้น ก็เริ่มอาเจียน 3-4 ครั้ง แขนขา เริ่มอ่อนแรง มือสั่น และตัวเริ่มชาไปทีละส่วน จากนั้น หมอได้ฉีด อะดรีนาลีน (Adrenaline) เข้าที่ต้นขา และเตรียมฉีดยาแก้แพ้ แก้อาเจียน ส่วนยา ชนิดอื่น ๆ ตนจำไม่ได้ เนื่องจากตอนนั้น มีอาการมึนและสายตาพร่ามัวแล้ว ก่อนที่จะเรียกรถพยาบาลมารับตนไปส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงให้เร็วที่สุด ขณะที่ ตนอยู่ในรถพยาบาล รู้สึกเพลียและวูบหลายครั้ง ซึ่งพยาบาลพยายาม ปลุก โดยตบที่ไหล่เรียกให้ตื่นตลอดเวลา เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ตนก็ถูกนำส่งห้องฉุกเฉินทันที ซึ่งตอนนั้นก็พยายาม หยิบโทรศัพท์เพื่อติดต่อหาคุณแม่ เพราะตนไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็อยากคุยให้สบายใจก่อน
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ ก็เดินมาหาและเอาเบอร์ห้องฉุกเฉินมาให้ และย้ำว่า หากอาการไม่ดี หรือมีอะไรผิดปกติ ให้โทรศัพท์มาทันที ก่อนจะนำตนไปตรวจที่ ห้องเอ็กซเรย์ สแกนปอด ตรวจคลื่นหัวใจ และตรวจเชื้อโควิด-19 ซึ่งผลตรวจออกมาว่า ตนไม่ได้ป่วย หรือ มีโรคประจำตัว แค่มีอาการภูมิแพ้อากาศเท่านั้น
ต่อมา หมอก็มาตรวจตามขั้นตอน ก่อนจะบอกว่า อาการที่ตนเป็น ณ ขณะนี้คือ อาการแพ้วัคซีน ค่อนข้างจะรุนแรง แต่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง ถ้ารุนแรงอาจจะต้องเข้าไปรักษาตัว ในห้อง ICU หลังจากนั้น หมอก็สั่งให้ตนนอนโรงพยาบาลเพื่อรอดูอาการ เนื่องจากยังมีอาการมึน อาเจียน คลื่นไส้ และมีไข้สูงถึง 37.8-38 องศา ส่วนแขนซ้าย ที่ฉีดวัคซีน ก็มีอาการอ่อนแรง ตึง ลามมันยังใบหน้าซีกซ้าย
วันถัดหมา หมอสั่ง ได้ให้ไปตรวจเช็คระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับประสาท ซึ่งผลออกมาว่า กล้ามเนื้อทางด้านซ้ายอ่อนแรงมาก จึงให้ทาน วิตามินบี วิตามินอื่น ๆ ที่ช่วยในการบำรุง ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาลดไข้ รวมทั้ง รักษาตามอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมด จนในช่วงค่ำ ตนยังรู้สึกเพลีย หนาว ๆ ร้อน ๆ และไข้ขึ้น ๆ ลง ๆ ประมาณ 36-38 องศา กระทั่งเช้าถัดมา ก็ยังรู้สึกมึน ๆ ตึง ๆ เหมือนไข้จะขึ้น ซึ่งเมื่อพยาบาลวัดไข้ มีอุณหภูมิ 37.6 องศา แต่อาการทุกอย่างค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังมีอาการชาที่ปลายนิ้ว ซึ่งหมอบอกว่า อาจจะมีเพลียบ้าง แต่อาการจะค่อย ๆ ฟื้นฟูที่ละน้อย โดยหลังจากนี้ จะต้องรอให้หมอวินิฉัยอาการอีกครั้งว่า จะให้กลับบ้านหรือไม่ หรือจะนัดมาดูอาการเมื่อไหร่ หากจะมีการนัดหมายอีกครั้ง ตนก็อาจจะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน เนื่องจาก หมอค่อนข้างเป็นห่วงในเรื่องของอาการอ่อนเพลีย และอาการชาตามจุดต่าง ๆ ซึ่งตนก็ต้องขอขอบคุณ คุณหมอหลาย ๆ ท่าน ที่ศูนย์จุดฉีดวัคซีน มาก ๆ ที่เข้ามาดูแล หลังจากเกิดอาการอย่างทันท่วงที และประสานงานมายังโรงพยาบาลทันที
สำหรับกระแสข่าว ที่ลงว่า อาการรุนแรงนั้น จริง ๆ แล้ว อยากจะให้ใช้คำว่า “อาการค่อนข้างรุนแรง และตนถือว่า เป็นเคสแรกที่มีอาการค่อนข้างรุนแรงเช่นนี้” เพราะตนเป็นคนที่แพ้ยาค่อนข้างมากอยุ่แล้ว เวลาไปตรวจ หรือ หาหมอที่ไหน ตนก็จะแจ้งทุกครั้งว่า แพ้ยาชนิดไหน ตัวไหนบ้าง และโชคดีอย่างมากที่หมอในโรงพยาบาลสนาม ให้ยารักษาค่อนข้างรวดเร็ว โรงพยาบาลก็อยู่ใกล้ จึงรักษาได้ทันท่วงที จึงอยากจะแนะนำใครหลาย ๆ คนว่า เมื่อรู้ว่า ตนเองมีอาการแพ้ หรือมีโรคประจำตัว ให้ไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลจะดีกว่า เพราะมีอุปกรณ์ครบ หากเกิดกรณีฉุกเฉิน ก็สามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ส่วนในอนาคต หากฉีดวัคซีน เข็มที่ 2 จะกังวลหรือไม่นั้น ส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลใด ๆ แต่ถามว่า กลัวหรือไม่ ก็คงต้องตอบว่า กลัวมาก แต่ก็กลัวเชื้อโควิด-19 มากกว่า ซึ่งก็มีความพร้อม ที่จะรับวัคซีนให้เร็วที่สุด เพราะอยากให้ สถานการณ์กลับไปสู่ภาวะปกติ ซึ่งในกรณีนี้ ตนไม่ได้โทษใคร หรือ โทษวัคซีน มันเกิดขึ้นเพราะร่างกายของแต่ละคน มีภูมิคุ้มกันที่ต่างกัน ดังนั้น ถ้าตนได้ฉีดเข็มที่ 2 ตนก็อาจจะต้องเลือกไปฉีดที่โรงพยาบาล ที่มีเครื่องมือพร้อมมากกว่า
นอกจากนี้ อยากจะฝากไปถึงหลาย ๆ คน ที่กำลังจะฉีดวัคซีนว่า ใครที่รู้ว่า ตัวเองแพ้ยา หรือมีอาการใด ๆ ก็ตาม อยากจะให้ไปขอเอกสารเกี่ยวกับการแพ้เก็บไว้ เผื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลไหน จะได้แนบเอกสารการแพ้ไปด้วย หรือ ค้นหาข้อมูลให้ละเอียด และรับประทานน้ำเยอะ ๆ รวมทั้ง เตรียมตัวให้พร้อมเสมอ
สุดท้ายนี้ ตนไม่ขอออกความเห็นว่า ควร หรือ ไม่ควรฉีดวัคซีน อยากให้เป็นวิจารณญาณของแต่ละบุคคลดีกว่า แต่หากใครที่จะฉีดวัคซีน ขอให้เตรียมข้อมูลไปให้พร้อม เมื่อพบแพทย์แล้ว ก็ไม่ต้องกลัว อะไรใด ๆ ทั้งสิ้น และขอให้กำลังใจทุกคนว่า บางทีคนที่แพ้ ก็อาจจะไม่ได้มีอาการเหมือนกันก็ได้
