วันที่ 16 มกราคม นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์เพชบุ๊ก จดหมายเปิดผนึก (ฉบับที่2) กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ศาลยุติธรรม คณะกรรมการปปช องค์กรต่อต้านคอรัปชั่น คณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการอภัยโทษ และ พี่น้องประชาชนคนไทยที่รักความเป็นธรรม เนื่องด้วยครบกำหนด 30 วัน ที่ท่านนายกฯแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่337/2564 ลงวันที่16 ธันวาคม 2564 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการอภัยโทษ ที่มีนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อดีตอัยการสูงสุดและประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม เป็นประธาน ให้มีหน้าที่และอำนาจในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นมาและการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
จากการที่กระผมและภาคประชาชนที่รักความเป็นธรรมในสังคม เห็นว่า การลดโทษบางกรณี เช่นการลดโทษมากสุดถึง 42 ปี ให้กับนักโทษเด็ดขาดคดีทุจริตจำนำข้าวอย่างต่อเนื่องรวม 4 ครั้งในระยะเวลาแต่เพียง 1 ปี 3เดือนเศษ ทั้งที่ศาลฎีกาตัดสินจำคุกสูงสุดถึง 48 ปี นั้นเป็นการกระทำที่อาจมิชอบ เพราะคดีดังกล่าวเป็นคดีอาญาทุจริตร้ายแรง มีผลเสียหายต่อประเทศชาติมากถึงกว่าเกือบ 6 แสนล้านบาท การใช้กฎหมายกฎกระทรวงและระเบียบที่ใช้ดุลยพินิจที่อาจเชื่อว่า นำบุคคลเฉพาะบางกลุ่มเข้าเกณฑ์ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น เป็นการอ้างเพื่อเอื้อประโยชน์ หรือการใช้อำนาจฝ่ายบริหารพิจารณาบริหารโทษที่น่าจะไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ไม่เกิดความเป็นธรรม และอาจก้าวล่วงเป็นอำนาจเหนือคำพิพากษาศาลยุติธรรม รวมถึงอาจถือว่าเป็นการกระทำมิบังควรในการอาศัยเหตุการณ์ เพราะในการออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษที่มีความมุ่งประสงค์ต้องการให้บังเกิดผลประโยชน์ต่อผู้ต้องโทษและสังคมโดยรวม ตามความในเหตุผลและหลักการในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการที่ท่านนายกรัฐมนตรีลงนามนั้น
บัดนี้ครบระยะเวลา30วัน ตามที่มีคำสั่งให้ประธานและคณะกรรมการทั้ง 8 ท่าน มีหน้าที่รายงานผลการตรวจสอบพร้อมข้อเสนอแนะหรือแนวทางแก้ปัญหาต่อนายกรัฐมนตรีภายใน 30 วัน กระผมและภาคประชาชนที่รักความเป็นธรรมยังจะเฝ้าติดตามรอคอยฟังรายงานดังกล่าวที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณะ ที่เป็นไปตามข้อเสนอแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ว่ามีผลประการใดตามที่เคยกราบเรียนไปแล้วอย่างไร แต่ส่วนตัวยังเชื่อมั่นว่า คณะกรรมการและนายกรัฐมนตรีจะได้ข้อสรุปพร้อมสั่งการให้แก้ไขให้เกิดความถูกต้องโปร่งใส รัดกุม รอบคอบ เกิดความเป็นธรรมและเป็นไปตามหลักนิติธรรม โดยไม่ปล่อยผ่านความผิดพลาดดังกล่าวให้เป็นแบบเลยตามเลย เพราะจะเกิดความเสื่อมศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดินและกระบวนการบริหารโทษหลังคำพิพากษาตามมามากกว่า
ดังนั้นเพื่อให้ท่านนายกรัฐมนตรีและท่านผู้เกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไขปัญหาระยะกลางตามที่เคยไปพร้อมกันด้วย กระผมจึงได้ขอเสนอร่างแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ต่อสาธารณะ มาตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 133 ที่กำหนดให้ ผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ 1) คณะรัฐมนตรี 2) ส.ส. จำนวนรวมกันไม่น้อยกว่า 20 คน และ 3) ประชาชน 10,000 คน เข้าชื่อกันเสนอกฎหมาย ตามหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หรือหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ เพื่อให้คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทน หรือประชาชน หรือทั้ง3ภาคส่วน เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่สภาตามบันทึกหลักการและเหตุผลที่แนบมาดังนี้
1)พรบ.แก้ไขพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ (ฉบับที่) พ.ศ. (8มาตรา) 2)ร่างพรบ.แก้ไข พระราชบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่)พ.ศ.(3มาตรา) โดยร่างกฎหมายที่เสนอดังกล่าวเป็นข้อเสนอทางกฎหมายเพื่อการแก้ไขปัญหาระยะกลางและระยะยาว เพื่อให้เกิดการใช้กฎหมายบริหารโทษหลังคำพิพากษาอย่างมีความรัดกุม โปร่งใส ถูกต้อง ไม่ให้เกิดปัญหาการใช้ดุลยพินิจและอำนาจโดยมิชอบต่อไป อีกทั้งเป็นการสร้างระยะปลอดภัยให้สังคมและเพื่อให้ผู้กระทำผิดได้ตระหนักถึงการกระทำผิดของตน โดยเฉพาะความผิดอาญาร้ายแรงบางฐานซึ่งก่อความเดือดร้อนแก่สังคมอย่างรุนแรง มิให้เกิดความประมาทหรือชะล่าใจว่า จะได้ประโยชน์จากหลักเกณฑ์ในการขอพระราชอภัยโทษเกินความเหมาะสม จึงเรียนเสนอมาเพื่อช่วยกันพิจารณาแก้ไขหาทางออก คืนความเป็นธรรมและความยุติธรรมให้กับชาติบ้านเมือง และสังคมไทยครับ
นายสมชาย กล่าวว่า ไม่สงวนสิทธิใด ๆ ในร่างกฎหมายแก้ไขพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ หากครม. ส.ส.ประชาชน จะนำไปพิจารณาเสนอร่างเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรหรือจะปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไปก็สามารถทำได้ และหากเห็นร่างนี้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจะอ้างอิงความเป็นมาและที่มาด้วย จักเป็นกำลังใจยิ่งครับ