นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ TOPNEWS ถึงสถานการณ์ส่งออก ว่า การส่งออกขณะนี้ ถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะเดิมมีการท่องเที่ยวที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญอีกตัวหนึ่ง แต่ขณะนี้ต้องยอมรับว่าการท่องเที่ยวยังเดินหน้าไม่ได้ โดยเฉพาะการรับนักท่องเที่ยว Inbound หรือนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ตัวขับเคลื่อนจึงเหลือแค่การส่งออก ที่นำรายได้เข้าประเทศ
ซึ่งการส่งออกในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ จากเงื่อนไข 2 ข้อ คือ
- ภาวะเศรษฐกิจโลก หลังได้รับวัคซีน เริ่มกระเตื้องขึ้น
- การบริหารจัดการทางด้านการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ประสบความสำเร็จ ซึ่งได้มีการจับมือใกล้ชิดกับภาคเอกชน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการทำงานร่วมกันในรูปคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) มีการหารือกำหนดเป้าหมายร่วมกัน มีการแก้ปัญหาร่วมกัน และผลักดันตลาดร่วมกัน
จนในที่สุด ตัวเลขส่งออกที่ออกมา ได้พ้นจุดต่ำสุดในกลางปี 2563ไปแล้ว ซึ่งตัวเลขต่ำสุดในกลางปีที่แล้ว เดือนมิ.ย. ติดลบ 23% เพราะช่วงดังกล่าวการระบาดของโควิด-19 กำลังแรงมาก และค่อยๆ กระเตื้องขึ้นมาติดลบน้อยลง มาถึงเดือน ก.ค.ติดลบ 17% ส.ค. ติดลบ 11% ก.ย. ติดลบ 7% และเริ่มกลับมาเป็นบวก ในเดือนธ.ค. ต่อเนื่องจากจนถึงเดือนมี.ค.64 ที่บวกถึง 8.47%
และในเดือนเม.ย. การส่งออก ขยายตัวได้ 13.09% ถือว่าตัวเลขดีขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการนำรายได้เข้าประเทศ และช่วยให้จีดีพีของไทยปีนี้ ไม่ติดลบเหมือนปีที่แล้ว
นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายการส่งออกปีนี้ ที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 4% เชื่อว่าจะทำได้เกินเป้า ถ้าถามว่า แล้วจะมีการปรับเป้าไหม ขอตอบว่า ยังไม่ปรับ แต่ไม่ได้แปลว่าถ้าเป้าอยู่ที่ 4% แล้ว เราจะไม่ทำอะไรแล้ว ไม่ใช่ เป้าหมายหลักก็คือ จะทำให้เกิน 4% ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้น จะปรับเป้าหรือไม่ปรับเป้า ความพยายามเราก็ไม่ลดลง จะร่วมมือกับเอกชนและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการผลักดันการส่งออก และทำตัวเลขเงินได้เข้าประเทศต่อไป
ในปี 63 การส่งออกมีมูลค่ารวม 231,468.44 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว -6.01% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่ารวม 206,991.89 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว -12.39% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 24,476.55 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตัวเลขส่งออกที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ส่วนใหญ่จะเป็น อาหาร สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน(Work from Home) เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ยางที่นำไปใช้ผลิตเครื่องมือแพทย์ ถุงมือยาง รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งในช่วงสถานการณ์โควิด อาหารสัตว์เลี้ยงก็มีความจำเป็น โดยขยายตัวดีมาตลอดตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จนถึงขณะนี้ รวมถึงรถยนต์ ซึ่งขยายตัวดีมาโดยตลอด
สำหรับประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยในปัจจุบัน อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหภาพยุโรป และอาเซียน
นอกจากนี้ ยังมีตลาดใหม่ที่เตรียมการไว้ทั้งรัสเซีย กลุ่มประเทศยูเรเซีย ซึ่งแตกตัวมาจากรัสเซีย แม้แต่มองโกเลีย ซึ่งเพิ่งมีการเจรจามีการกับท่านทูตมองโกเลีย โดยตั้งเป้าจะขยายตลาดที่มองโกเลีย เพื่อให้มองโกเลียเป็นประตูไปสู่รัสเซีย กับกลุ่มประเทศยูเรเซีย เป็นต้น โดยการส่งออกไปรัสเซีย อาหารจะเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะรัสเซียผลิตอาหารพืชผลทางการเกษตรได้เฉพาะช่วงที่ไม่ใช่ฤดูหนาว โดยปลูกได้ในช่วงเวลาจำกัด และปลูกพืชได้บางชนิด เพราะฉะนั้น อาหารจากประเทศไทยถือว่ามีบทบาทสำคัญในการขยายรัสเซียเป็นตลาดนำเข้าได้สูงมาก อย่างไรตาม มูลค่าส่งออกขณะนี้ยังไม่เยอะมาก ยังถือว่าเป็นตลาดใหม่
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการแบ่งตลาดเป็น 3 ส่วน คือ ตลาดเดิม ตลาดใหม่ และตลาดที่เคยเป็นตลาดแต่เสียไป ภายใต้ยุทธศาสตร์ “รักษาตลาดเดิม เพิ่มตลาดใหม่ และฟื้นตลาดที่เสียไปกลับคืนมา” ซึ่งตลาดที่เคยมีอยู่และเสียไป ยกตัวอย่างเช่น ตลาดตะวันออกกลางบางประเทศ อาทิ อิรัก ซึ่งเคยซื้อข้าวของไทย หลังช่วงโครงการจำนำข้าว ก็ไม่ซื้อ เพราะบางบริษัท ไม่ส่งข้าวไปตามคุณภาพที่กำหนด โดยขณะนี้ได้ส่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศไปเจรจา ทางอิรักก็ยอมรับที่จะค้าขายกับไทยใหม่ ตอนนี้ข้าวไทยก็เข้าไปประมูลในอิรักได้แล้ว
อีกตลาดหนึ่งคือ ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ในตะวันออกกลาง และสามารถเป็นประตูไปสู่ประเทศอื่นในกลุ่มตะวันออกกลางได้ด้วย หลังจากที่เราเริ่มฟื้นความสัมพันธ์ใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ขณะนี้ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เกาะติดร่วมกับเอกชนเพื่อที่จะเริ่มค้าขายกันใหม่กับซาอุดิอาระเบีย ซึ่งคาดว่าจะมีความคืบหน้าในทางที่บวก ในเวลาไม่นานนี้