รอยเตอร์สรายงานว่าสายการบินสหรัฐได้สั่งยกเลิกเที่ยวบินจำนวน 1 พัน 460 เที่ยวบินเมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 8 พย.) ขณะที่อีกกว่า 6 พันเที่ยวบินต้องประสบปัญหาล่าช้า ส่งผลกระทบต่อสนามบิน 37 แห่ง ใน 12 เมืองใหญ่ทั่วสหรัฐ รวมทั้งนครแอตแลนต้า, นิววอร์ก, ซานฟรานซิสโก, ชิคาโกและนิวยอร์ก
การระงับเที่ยวบินมีขึ้นเป็นวันที่สอง หลังจากวันศุกร์ได้มีการยกเลิกเที่ยวบินไป 1 พัน 25 เที่ยวบินและล่าช้า 7 พันเที่ยวบิน ซึ่งรวมถึง 4 สายการบินหลักอย่างอเมริกันแอร์ไลน์ส, เดลต้าแอร์ไลน์, เซาธ์เวสต์แอร์ไลน์สและยูไนเต็ดแอร์ไลน์ส
ทั้งนี้องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐหรือ FAA ได้มีคำสั่งให้ตัดจำนวนเที่ยวบินลง 4% ต่อวัน ในสนามบินหลัก 40 แห่งทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายนเนื่องจากปัญหาความปลอดภัยด้านการควบคุมการบิน หลังจากการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐยึดเยื้อเข้าสู่วันที่ 39 ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินมีจำนวนไม่เพียงพอ เนื่องจากบางส่วนหยุดงานเพราะไม่ได้รับเงินเดือนมาหลายสัปดาห์
และในวันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน FAA จะลดเที่ยวบินเพิ่มเป็น 6% และ 10% ในวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน
ปัญหาการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินทำให้ FAA ต้องบังคับใช้โปรแกรมการล่าช้าของเที่ยวบินในสนามบิน 9 แห่งเมื่อวานนี้ คือทำให้เครื่องบินขึ้นลงล่าช้าเนื่องจากต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น โดยที่สนามบินแอตแลนต้ามีอัตราเฉลี่ยของความล่าช้าที่ 282 นาที
ทั้งนี้ไบรอัน เบดฟอร์ด ผู้บริหาร FAA กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ 20-40% ไม่ได้มาทำงานในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทำให้เจ้าหน้าที่ที่เหลือต้องปฏิบ้ติงานเกินเวลาจนเกิดความเหนื่อยล้า ทำให้มีรายงานความผิดพลาดมากกว่า 500 ครั้ง
จอห์น ธูน ผู้นำวุฒิสภาเสียงข้างมากกล่าวว่าการเจรจาระหว่างสองพรรคเพื่อยุติการชัตดาวน์เมื่อวานนี้เริ่มส่งสัญญานที่ดีแต่ก็ยังไม่บรรลุข้อตกลง และจะมีความพยายามเจรจากันอีกครั้งในวันนี้
ขณะที่ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีคมนาคมสหรัฐ กล่าวว่าหากจำนวนเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินไม่มาทำงานเพิ่มขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องลดเที่ยวบินลงถึง 20%

