ดับฝัน “เค สามถุยส์” ถวายฎีกาช่วย “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”

ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 259 กำหนดว่า ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้”
ขณะเดียวกันในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 264 ระบุเไว้ว่า หากการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษที่ไม่ใช่โทษประหารชีวิตถูกยกไปแล้วหนึ่งหน จะไม่สามารถยื่นใหม่ได้อีกจนกว่าจะพ้นระยะเวลาสองปี

ทั้งนี้เมื่อวิเคราะห์บทบัญญัติมาตรา 259 จะพบว่าหลักสำคัญในวิธีการและขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษ แบบรายบุคคลหรือคณะบุคคลดังนี้
1. คดีต้องมีการพิพากษาถึงที่สุดแล้วเท่านั้น
2. ผู้ยื่นเรื่องราวทูลเกล้าฯ จะต้องเป็นผู้ต้องคำพิพากษา ผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง (บิดา มารดา คู่สมรส บุตร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือคณะรัฐมนตรี เท่านั้น ทนายความไม่นับเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง
3. ผลลัพธ์มีสามรูปแบบ คือ พระราชทานอภัยโทษให้ทั้งหมด พระราชทานอภัยโทษให้บางส่วน และ ไม่ให้พระราชทานอภัยโทษ โดยหนังสือคำสั่งเหล่านี้จะมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
4. หากถูกยกฎีกาไม่ให้พระราชทานอภัยโทษซึ่งไม่ใช่โทษประหารให้ชีวิต ต้องรอไปอีกสองปีนับตั้งแต่มีการยกฎีกาจึงจะยื่นใหม่ได้

ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษจะต้องถูกคำพิพากษาถึงที่สุด กล่าวคือได้รับการลงโทษแล้ว เช่น อยู่ในระหว่างการจำคุก มีสถานะเป็น “นักโทษเด็ดขาด” จึงสามารถยื่นขอพระราชทานอภัยโทษได้ ซึ่งในกฎหมายและ ป.วิอาญาฯ ไม่ได้กำหนดช่วงเวลารับโทษขั้นต่ำเอาไว้ จึงหมายความว่าสามารถยื่นได้ทุกเมื่อ นับตั้งแต่วินาทีแรกของการถูกลงโทษตามคำพิพากษาคดี

ส่วนผู้มีสิทธิยื่นเรื่องราวทูลเกล้าฯ หากดูวีธีและชั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษในข้อ 2 ต้องเป็น “ผู้ต้องคำพิพากษา” หรือ “ผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือคณะรัฐมนตรี ซึ่งผู้ต้องคำพิพากษา หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง หมายถึง “นักโทษเด็ดขาด บิดา มารดา คู่สมรส บุตร” นอกจากนี้กฎหมายยังให้สิทธิรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คณะรัฐมนตรี และกระทรวงการต่างประเทศในการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษได้ ส่วนบุคคลอื่นนั้น กฎหมายไม่ถือเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง จึงไม่สามารถเป็นผู้ยื่นขอถวายฎีกาพระราชทานอภัยโทษได้ แม้แต่ทนายความยังไม่นับเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง