"ผบ.ทสส." สั่งเข้มเพิ่มมาตรการ คุมเข้มชายแดน นำเข้า-ส่งออก คาเฟอีน พร้อมตั้ง "ฉก.นานาชาติ" เร่งปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ข่าวที่น่าสนใจ
เมื่อวันที่ 12 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ที่ฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) และผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการทางทหาร ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ผอ.ศอ.ปชด.) ให้สัมภาษณ์ภายหลัง เดินทางไปตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ จ.เชียงราย ซึ่งรับผิดชอบของกองกำลังผาเมือง ว่ายาเสพติดตามแนวชายแดน จำเป็นต้องเพิ่มกำลังพลให้มากขึ้น ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาการกระทำความผิดตามแนวชายแดนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ได้ให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกพิจารณาในการเพิ่มกำลังพลที่อยู่ตามแนวชายแดน แม้ทหารเรามีเยอะก็จริง แต่พื้นที่ตามแนวชายแดนมีข้อจำกัด ซึ่งนอกจากจะเพิ่มกำลังพลลาดตระเวนเฝ้าตรวจแล้วต้องเพิ่มเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นโดรน อุปกรณ์ในการเฝ้าตรวจและวิธีการปฏิบัติด้วย นอกจากจำนวนคนมากขึ้นรวมไปถึงเทคโนโลยีก็ต้องมากขึ้นด้วย
และจากการ รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ยาเสพติดในภาพรวมดีขึ้น แต่จำนวนสารตั้งต้นทั้งฝั่งชายแดนไทย และชายแดนเพื่อนบ้าน ยังมีจำนวนสูงอยู่ โดยต้องเป็นความร่วมมือ ทั้งกับบ้านเราและประเทศเพื่อนบ้าน ขบวนการลักลอบขนยาเสพติดส่วนใหญ่ลักลอบเดินเท้าเข้ามาจำนวน 20 ถึง 30 คนแต่กำลังพลในการเฝ้าตรวจมีจำนวนน้อยเราจำเป็นต้องเพิ่มกำลังพลและยุทโธปกรณ์การเฝ้าตรวจให้มากขึ้นรวมถึงเรียนรู้วิธีการให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่จะขอให้กำลังพลในพื้นที่ปฏิบัติงานอย่างเดียว แต่เราจำเป็นต้องปรับแนวทางในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย โดย ปัญหาเหล่านี้ในการประชุม ศอ.ปชด. ในเดือนกันยายนนี้
ส่วนนโยบายของรัฐบาล ซิวสต็อปเซฟ ยืนยันว่า ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่งแต่จะมากน้อยเพียงใดต้องรอดูในช่วงเดือนกันยายนนี้ ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันหากนำนโยบายมาใช้ แต่ผู้ปฏิบัติคนเดิมนโยบายก็ไม่ได้รับการตอบสนอง แต่หากนำนโยบายมาใช้และปรับเพิ่มกำลังคนให้มากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการสนับสนุนกำลังพลเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาจะเกิดภาพสูงสุด และหาเราไม่เร่งตัดวงจรในการผลิตจำนวนยาเสพติดก็จะเพิ่มมากขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องนำเรื่องนี้ไปคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประชาคมโลกต้องร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ระบุว่า ยาเสพติดหนึ่งเม็ดมีคาเฟ่อีน 70% หากเราปล่อยให้คาเฟอีนที่มาจากประเทศไทย เข้าสู่แหล่งผลิตยาเสพติดได้ง่ายนั้น จะส่งผลให้การผลิตยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่คาเฟอีนไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่เราต้องเพิ่มกฎระเบียบพิเศษจำกัดพื้นที่ในการนำเข้าส่งออกคาเฟ่อีนในการผ่านด่านชายแดนด้วย
นอกจากนี้ยังเดินหน้าขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน กับประเทศเพื่อนบ้าน (ผอ.ศอ.ปชด.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน กรณี การปราบแก๊งสแกมเมอร์ ว่า ตนขอแบ่งออกเป็น 2 โซน 1.ทางเมียนมา เมื่อเร็วๆนี้มีการประชุม 3 ฝ่ายอีกครั้ง ที่ประเทศเมียนมา โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ส่งผู้แทนไปประชุม และประเทศจีน ส่ง นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าร่วมการประชุม ส่วนเมียนมาก็มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่เข้าร่วมการประชุมด้วย
ทั้งนี้ ได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการเรื่องการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อไป เนื่องจากยังมีประชาชน อยู่ในขบวนการคอลเซนเตอร์ ปัจจุบันส่งกลับไปแล้ว กว่า 8,000 คน คาดการณ์ว่าเป้าเดิม น่าจะมีรวมกัน ถึง 50,000 คน และโซนตรงข้าม อ.แม่สอด จ.เมียวดี โซนดังกล่าวทางประเทศจีน มองไว้ 50,000 คน ที่ต้องส่งกลับ ส่วนผู้นำทางเมียมา ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ ปัจจุบัน หลายบริษัท ทางเมียนมา ใช้กฎหมายบังคับให้ยุติการเป็นบริษัท และมีหมายจับจากต่างประเทศด้วย ตนหวังว่าเค้าจะกลับมาร่วมมือ ในการสร้างเมืองที่ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มากขึ้น
เมื่อเมียนมาถูกกดดันจากการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันมากขึ้น มันมีการโยกย้าย ซึ่งส่วนหนึ่งจะไปทางตะวันออก โดยทาง หน่วยเฉพาะกิจ (ฉก.) 88 ก็จะไปดำเนินการภาคตะวันออกมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีการออกหมายจับและการขอความร่วมมือในการปราบปรามตั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งนานาชาติ ซึ่งกลางเดือนกรกฎาคมนี้จะมีการจัดตั้ง หน่วยเฉพาะกิจนานาชาติ ในประเทศไทยในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนรายละเอียดทาง โดยเฉพาะกิจ 88 จะเป็นผู้ชี้แจง
ส่วนตัวของตนนั้นมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกับต่างชาติและประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากเป็นภัยคุกคามของคนทั้งโลก และบุคคลที่อยู่ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้มีเพียงชาติเดียว โดยทางเมียนมามีกว่า 20 ชาติ ที่เราสามารถช่วยเหลือออกมาได้ ดังนั้น ประเทศที่ยื่นมือเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือ ประเทศจีนและประเทศเมียนมา ตนหวังว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำร่วมกันได้เนื่องจากเป็นภัยต่อคนทั้งโลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง