วันที่ 13 ก.ย. 2564 ที่จ.สงขลา ผู้สื่อข่าวพาไปดูอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจแม้จะเหนื่อยและหนักแต่ก็สามารถทำเงินได้อย่างงาม นั่นคืออาชีพน่าล่าหรือนักหาต้นสาคู เพื่อตัดเอาไปขายทำเป็นแป้งสาคูแท้ๆที่นำไปใช้ทำขนมหวานเช่นสาคูเปียกน้ำกะทิหรือว่าเอาไปทำขนมครองแครงและขนมอื่นๆที่ใช้แป้งสาคูเป็นส่วนประกอบ โดยต้นหนึ่งขายได้1,500ถึง1,600 บาท หนึ่งในผู้ที่ทำอาชีพนี้คือบังเหล๊าะ ชาวอ.ละงู จ.สตูล ที่ตระเวนหาต้นสาคูส่งขายให้กับกลุ่มผลิตแห้งสาคู ที่บ้านหนองโต๊ะปาน ต.พนมวังก์ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตแป้งสาคูจากต้นสาคูแท้ๆที่เหลืออยู่และอาจจะเป็นแห่งเดียวของภาคใต้หรือในประเทศไทยก็ว่าได้
บังเหล๊าะบอกว่าวิธีการสังเกตุต้นสาคูที่มีเนื้อแป้งสาคูคุณภาพดีและมีแป้งสาคู100เปอร์เซ็นต์ ต้องเลือกต้นที่แทงยอดออกมาลักษณะเหมือนงาช้างหรือต้นที่มีดอก ถ้าต้นไหนเป็นลูกแล้วปริมาณแป้งจะน้อยมีไม่ถึง20เปอร์เซ็นต์ หรือถ้าจะให้ชัวร์ว่าต้นสาคูต้นไหนมีแป้งที่ได้คุณภาพก็จะใช้วิธีชิมดูหากมีรสฟาดกับมันถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ามีรสหวานแสดงว่าคุณภาพแป้งไม่ดี เมื่อได้ต้นที่ต้องการแล้วก็จะใช้เลื่อยยนต์โค่นลงมาแล้วตัดเป็นท่อน โดย1ต้นจะได้ประมาณ15-20 ท่อน รับซื้อจากชาวสวนต้นละ 400 บาทและนำไปขายต้นละ 1,500ถึง1,600 บาท
แม้จะได้ราคาสูงแต่ก็เป็นงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยและตอนนี้ต้นสาคูก็ค่อนข้างหายากต้องตระเวนหาไปตามหมู่บ้านที่ยังพอมีป่าสาคูหลงเหลืออยู่ บางวันก็หาต้นสาคูตัดได้3ถึง4 ต้นแต่ก็ไม่ได้มีทุกวันและขึ้นอยู่กับการสั่งซื้อของกลุ่มที่ผลิตแป้งสาคูด้วย
บังเหล๊าะ บอกว่า ต้นสาคู1ต้นจะได้แป้งสาคูประมาณ 100ถึง200 กิโลกรัมขึ้นอยู่กับความใหญ่และความสูงของต้น แต่เมื่อนำไปบดเป็นแป้งแล้ว ใน100กิโลกรัมจะเหลือแป้งสาคูจริงๆประมาณ 70 กิโลกรัมเท่านั้น เมื่อผ่านกระบวนการผลิตเป็นสาคูแล้วจะขายกันกิโลกรัมละ 130 บาท พร้อมนำไปทำเป็นขนมเช่นสาคูน้ำกะทิหรือขนมอื่นๆที่ใช้แป้งสาคูเป็นส่วนประกอบซึ่งจะหวานมันแตกต่างจากแป้งมันที่นำมาทำเป็นแป้งสาคู
นภาลัย ชูศรี ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.สงขลา
