“ดร.อานนท์” สรุปคลิปสนทนา “แอนิเมชั่น 2475” ชี้ชัด “อ.สุลักษณ์” ควรอ่านหนังสือให้มากกว่านี้

"ดร.อานนท์" สรุปคลิปสนทนา "แอนิเมชั่น 2475" ชี้ชัด "อ.สุลักษณ์" ควรอ่านหนังสือให้มากกว่านี้

ดร.อานนท์” สรุปคลิปสนทนา “แอนิเมชั่น 2475” ชี้ชัด “อ.สุลักษณ์” ควรอ่านหนังสือให้มากกว่านี้

วันที่ 5 พ.ค. 67 ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Arnond Sakworawich” ระบุว่า ในการพูดคุยระหว่าง อาจารย์ Sulak Sivaraksa กับ ศ.ดร. ไชยยันต์ ไชยพรเกี่ยวกับ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ อ.สุลักษณ์กล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่เคยทรงอ่านงานของมาร์กซ์และสตาลิน แต่พอ อ.ไชยันต์ถามหาหลักฐานอ้างอิงในสิ่งที่อ.สุลักษณ์วิพากษ์วิจารณ์ อ.สุลักษณ์ กลับตอบกลับว่า ผมคิดว่า ผมเชื่อว่า บางทีผมอาจจะผิด ผมยังไม่ได้อ่าน

ดร.อานนท์

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ความจริงอันแน่นอนคือ อ.สุลักษณ์ยังอ่านมาไม่พอ ศึกษามาไม่พอ แต่ก็บังอาจวิจารณ์โดยรู้ไม่จริง

อ.สุลักษณ์ สมควรไปทำการบ้าน อ่านหนังสือให้มากกว่านี้ก่อนจะมากล่าวหาลอยๆ ไร้หลักฐาน ว่าในหลวงรัชกาลที่ 7 ไม่เคยทรงอ่านงานของคอมมิวนิสต์ คนที่อ่านมาไม่พอแน่ๆ คือตัวอาจารย์สุลักษณ์เองนะครับ

ถ้าอาจารย์สุลักษณ์เหงา อยากหาเพื่อนทำการบ้านอ่านหนังสือ ผมขอแนะนำให้อาจารย์สุลักษณ์ไปทำการบ้าน และอ่านหนังสือเป็นเพื่อนกับน้องรุ้ง ปณัสยา ก็ได้นะครับ จะได้มีกัลยาณมิตรผู้มีภูมิธรรมภูมิรู้เสมอเสมือนเท่าเทียมกัน ร่วมอ่านร่วมศึกษาไปด้วยกัน

 

 

 

ก่อนหน้านั้น เพจเฟซบุ๊ก “ปราชญ์ สามสี” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า หลังจากได้มีโอกาสฟังเทปอาจารย์ศิวรักษ์คุยกับอาจารย์ไชยันต์เรื่องภาพยนตร์ 2475 นั้นข้าพเจ้าขอยอมรับว่า…

ต้องขออนุญาตกินยาลดความดันเสียหน่อยครับเพราะว่าจากที่ได้ฟังว่าทางศิวรักษ์ ไม่เชื่อว่ารัชกาลที่ 7 เป็นผู้เขียนหนังสือปกขาวรวมถึงที่ว่าพระองค์ท่านไม่เคยอ่านหนังสือของ สตาลิน..

อาจารย์สุลักษณ์ใช้หลัก”ผมไม่เคยเห็น” “ผมไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนั้น” ” ผมจึงไม่เชื่อ”

ซึ่งวิธีการเหล่านี้ไม่ใช่วิธีการของนักประวัติศาสตร์

จะใช้หลักคำว่าผมเชื่อว่าจึงเป็นหลักของประวัติศาสตร์นั้นไม่ได้อีกเช่นกัน!!!!
ยิ่งตั้งตนเป็นนักประวัติศาสตร์ระดับนักปราชญ์แห่งยุค ….(เขาเรียกตัวเองว่าปัญญาชนสยาม) แต่กลับไม่เคยอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับพระราชดำริของรัชกาลที่ 7 นับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกดีครับ

 

เรื่องสมุดปกขาวนั้นจะต้องเท้าความของการกำเนิดของสมุดปกเหลืองเสียก่อน
โดยเฉพาะสมุดปกเหลืองที่อาจารย์ปรีดีได้พูดเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจที่อ้างอิงแนวคิดแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่งพระยามโนปกรณ์นิติธาดาซึ่งเป็นนายกฯ ในเวลานั้นเล็งเห็นแล้วว่าวิธีการนี้อาจจะไม่เหมาะสมจึงได้หารือปรึกษากับรัชกาลที่ 7 จนออกเป็นหนังสือปกขาวขึ้นเพื่อท้วงติงการบริหารการจัดการของอาจารย์ปรีดีว่าไม่เหมาะสมกับประเทศสยามของเรา

เหตุการณ์นั้นส่งผลทำให้เกิดความขัดแย้งภายในสภาทำให้พระยามโนปกรณ์ที่ป็นนายกฯจำเป็นที่จะต้องปิดสภาและบังคับใช้กฎหมายบางมาตราเพื่อรักษาความสงบในเวลานั้นสุดท้ายแล้วก็โดนรัฐประหารกันอยู่ดี

โดยฝ่ายพระยาพหลซึ่งสนับสนุนอาจารย์ปรีดีเป็นผู้ก่อรัฐประหาร…

การที่ศิวรักษ์ไม่เชื่อว่ารัชกาลที่ 7 จะเขียนเอกสารนี้และพยายามทำให้เข้าใจว่า เป็นการกระทำของพระยามโน โดยจินตนาการเอาเองว่าพระยามโนน่าไม่พอใจ ปรีดี จึงแต่งเรื่องขึ้นเรื่องนี้ไม่มีทั้งหลักฐานและไม่เคยปรากฏในพงศาวดารใดๆเลยครับ
แล้วถ้าพูดกันตามข้อเท็จจริงแล้วการออกเอกสาร ภายใต้พระปรมาภิไธยนั้นไม่สามารถทำแทนกันได้ ถ้าแอบทำป่านนี้โดนกฎหมายตัดหัว ติดเกาะตะรุเตากันไปนานแล้วครับ

ดังนั้นรัชกาลที่ 7 จึงเป็นผู้เขียนสิ่งนี้อีกทั้งเรื่องนี้ยังสอดคล้องกับบันทึกส่วนพระองค์ที่ถูกเขียนขึ้น 6 หน้า ที่เกี่ยวข้องสละราชสมบัติด้วยนะครับ

ในแถลงการสละราชสมบัติของรัชกาลที่ 7 ก็พูดชัดเจน โดยเฉพาะใน “หน้าสาม” ก็ระบุถึงรัฐบาลที่มีความพยายาม เปลี่ยนเปลงเศรษฐกิจ นำไปสู่ความขัดแย้ง ทางการเมือง…ซึ่งเป็นเรื่องที่พระองค์ไม่โปรดเช่นกัน!!!

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สมุดปกขาวจะไม่ใช่เอกสารมาจากรัชกาลที่ 7 เพราะรัชกาลที่ 7 ก็ชี้ชัดเจนในสำนวนเดียวกันในเรื่องความบาดหมางของคณะราษฎรที่มีต่อปวงชนชาวไทย

 

ความร้ายกาจของปรีดีเป็นเรื่องจริง!!
ในบันทึกของพระยามหิธรที่เป็นผู้จดบันทึก ก็ยังมีระบุชัดเจนเกี่ยวข้องกับความไม่สบายใจที่อาจารย์ปรีดีได้กล่าวหารัชกาลที่ 7 ว่าเป็น “คนร้าย” ตามแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ของคณะราษฎร ซึ่งเป็นความเท็จจึงต้องเรียกมาเข้าเฝ้าเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยและปรีดีซึ่งตอนนั้นยังเป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรมต้องทำเอกสารแก้ทำปรักปรำให้พระองค์เสียด้วยซ้ำ
ซึ่งบันทึกฉบับนี้ก็มีให้เห็นที่ ชั้นสาม พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้า ถนน ราชดำเนิน ….สามารถดูได้ฉบับเต็มนะครับ

กรณีเรื่องรัฐสวัสดิการก่อน สงครามโลก นี่ก็ไม่จริง

ทั้งนี้การแอบอ้างว่าประเทศต่างๆในเวลานั้นเป็นรัฐสวัสดิการเรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกันเพราะว่าใน2475 นั้นยังไม่ปรากฏชัดเจนถึงระบบรัฐสวัสดิการ มีเพียงแต่”อุดมคติ”ที่อยากเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์เท่านั้น
คำว่าsocialist เกิดขึ้นแล้ว แต่การจะทำได้จริง ต้องใช้เวลาอีกทั้งในยุโรปโดยเฉพาะรัสเซียนั้นเพิ่งปฏิวัติราชวงศ์โรมานอฟไปได้ไม่นาน…
ดังนั้นจึงไม่ใช่รัฐสวัสดิการโดยทันทีอย่างแน่นอน
Socialist = สังคมนิยม
รัฐสวัสดิการ = Welfare state

อย่าลืมนะครับว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยนั้นเกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการต่อสู้กับแนวคิดการปกครองของคอมมิวนิสต์และลัทธินาซีและฝ่ายเสรีนิยม แต่ละฝ่ายก็ยืนยันชัดเจนว่าเป็นระบบการปกครองที่ทำให้โลกสงบสุข แต่มันก็ไม่ใช่ไงครับ หลังสองครามโลกครั้งที่สอง ก็ยังแข่งขันเรื่องนี้ จนเป็นสงครามเย็น ….หลังสงครามเย็นโซเวียตถึงได้แตก

คำรัฐสวัสดิการเกิดกำเนิดขึ้นและเป็นรูปธรรมจริงๆโดยนำเอาหลักคิดของสังคมนิยมและเสรีนิยมมาประยุกต์ใช้เพื่อรักษาสมดุลของทั้งสองฝ่ายเหมือนที่เกิดขึ้นในยุโรปหลังสงครามเย็น… ไม่ใช่ในยุค ก่อนสงครามโลกครั้งที่2 อย่างที่ ศิวรักษ์ เข้าใจ

เอาเป็นว่า นี่เป็นงานเขียนเชิงบ่น ๆ ถึงความไม่อะไรของศิวรักษ์ เลยละครับ
เซง….

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

นาทีระทึก !น้ำเชี่ยวกราก พัดห่วงเรือโป๊ะเบา หวิดพุ่งชนโบราณสถานป้อมเพชร โชคดีดึงเรือไว้ได้ทัน
สหกรณ์การเกษตรแกดำ เปิดโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตสมาชิกผู้สูงอายุ ครบรอบการจดทะเบียนสหกรณ์ 48 ปี
เปิดคลิป "เขมร" สันดานโจร ฉวยโอกาสทีเผลอ ฉกรั้วลวดหนามฝ่ายไทย ซัดจนท.กัมพูชา "คุมคนของตัวเองให้ได้"
ตำรวจเร่งล่าตัวคนร้ายบุกเดี่ยวเข้าร้านทอง ใช้มีดจี้ลูกค้าเป็นตัวประกัน ขู่เอาทองรูปพรรณจากเจ้าของร้าน ไปได้ราว 2.2 แสนบาท ก่อนซิ่งจักรยานยนต์หลบหนี
"นายกฯ อนุทิน" นำทีมเศรษฐกิจ ร่วมหารือสภาหอการค้าฯ ย้ำทูลเกล้ารายชื่อครม.แล้ว พร้อมผนึกเอกชนลุยฟื้นศก.ไทย
"หวิดดับ! กองขยะล้นห้อง จุดเทียนบนหัวนอน เผาวอดห้องพ่อเฒ่า 69 ปี"

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​