CNN, AFP และซินหัว รายงานว่าสองผุ้นำมหาอำนาจโลกได้พูดคุยกันนานถึง 1 ชั่วโมง 45 นาที เมื่อวานนี้ (อังคารที่ 2 เมย.) ทั้งประเด็นความข้ดแย้งและความร่วมมือ ซึ่งบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปอย่างเผ็ดร้อนและตรงไปตรงมา โดยไบเดนแสดงความวิตกเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐจะตกไปถึงมือจีน และอาจกลับมาทำลายความมั่นคงของสหรัฐเอง โดยยังย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องจำกัดเรื่องการค้าและลงทุนในเรื่องนี้เพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่สีก็ขู่กลับว่าหากสหรัฐยังคงพยายามสกัดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูง และพยายามฉุดรั้งการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน จีนก็จะไม่ยอมนั่งเฉยอย่างแน่นอน และว่าความพยายามกดขึ่ด้านการค้าและเทคโนโลยีจีนไม่ใช่การลดแต่เป็นการเพิ่มความเสี่ยง
ส่วนประเด็นแอ็ป TikTok ของที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสหรัฐนั้น ไบเดนบอกกับสีอย่างตรงไปตรงมาว่าสหรัฐต้องการให้ไบท์แดนซ์ขาย TikTok ไม่เช่นนั้นออกฎหมายแบน TikTok โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงด้านข้อมูลของสหรัฐ ส่วนผู้นำจีนก็ตอบตรงเช่นกันว่าจีนจะไม่ยอมขายให้สหรัฐ
ประธานาธิบดีสียังย้ำประเด็นไต้หวันอีกรอบว่าไต้หวันเป็น “เส้นแดงเส้นแรก” ที่สหรัฐจะล้ำเส้นไม่ได้ หากต้องการให้ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมเรียกร้องไบเดนให้ปฏิบัติตามคำมั่นที่เคยให้ไว้ว่าจะไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน ขณะที่ไบเดนก็ตอบโต้ว่าไม่ต้องการให้จีนสนับสนุนรัสเซีย พร้อมชี้ว่าการที่จีนสนับสนุนเศรษฐกิจรัสเซีย เท่ากับเป็นการส่งเสริมรัสเซียให้เสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านกองทัพและอาวุธ
การต่อสายพูดคุยระหว่างสองผู้นำยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจโลกมีขึ้นเพื่อสานต่อความมั่นที่สองรัฐบาลประกาศว่าจะให้มีการสื่อสารพูดคุยกันมากขึ้นและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดจนกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและสันติภาพโลก รวมทั้งเศรษฐกิจทั้งระบบ เนื่องจีนและสหรัฐเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก
ทั้งนี้จอห์น เคอร์บี้ โฆษกสำนักงานด้านความมั่นคงสหรัฐชี้ว่าการสื่อสารพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นในการบริหารจัดการความแตกต่างและความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสองประเทศ พร้อมเผยว่านางเจเน็ต เยเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐกำลังจะเดินทางไปเยือนในสัปดาห์นี้ โดยจะพบรัฐมนตรีคลังจีนเพื่อพูดคุยในประเด็นการส่งออกรถอีวีและโซลาร์เซลล์ของจีน ซึ่งสหรัฐมองว่าส่งผลกระทบต่อตลาดและอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐ ขณะที่แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐก็เตรียมเดินทางเยือนจีนในเร็วๆนี้เช่นกัน