ส่อผลประโยชน์ทับซ้อน “โตโต้ ก้าวไกล” จี้รัฐบาลนิรโทษกรรม 3 นิ้ว โซเชียลขุดยับ ที่แท้ตัวเองมีคดีเพียบ

การอภิปรายของนายปิยรัฐ ทำให้ถูกวิจารณ์ว่าเจ้าตัวมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เพราะหากย้อนไปตรวจสอบจะพบว่า นายปิยรัฐมีคดีติดตัวจากการออกมาเคลื่อนไหวหลายคดีด้วยกัน เช่น
-คดีอั้งยี่ซ่องโจร ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และข้อหาอื่นๆ หลังถูกตำรวจจับกุม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2564 ที่ห้างเมเจอร์ฯ สาขารัชโยธิน โดยตำรวจให้ข้อมูลว่าทีมการ์ดวีโว่เตรียมที่จะก่อเหตุสร้างความวุ่นวายและทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในระหว่างการชุมนุมที่หน้าศาลอาญา ปัจจุบันคดีนี้อยู่ในการพิจารณาในชั้นศาล
-คดีนำม็อบรื้อลวดหีบเพลง และแผงกั้นเหล็ก บริเวณแยกอุรุพงษ์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกโตโต้กับพวกรวม 19 คน คนละ 20 วัน ปรับเงินคนละ 6,000 บาท แต่โทษรออาญา 2 ปี
-คดีมาตรา 112 จากกการโพสต์ข้อความเมื่อปี 2563 พาดพิงถึงการใช้เงินภาษีของพระมหากษัตริย์และพระราชินี
-คดีมาตรา 112 จากการจัดทำป้ายไวนิลวิจารณ์การจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล แล้วใส่ข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทในหลวง และโพสต์เผยแพร่ภาพป้ายดังกล่าวที่ติดตั้งอยู่ข้างทางใน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อปี 2564
-คดีมาตรา 112 และคดี 116 จากการปราศรัยประเด็น “พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์กับบทบาทของกองทัพไทย” และข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในการชุมนุม ที่ศาลหลักเมืองอุบลฯ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2563

ดังนั้นหากรัฐบาลนายเศรษฐาตอบรับข้อเสนอออกกฎหมายนิรโทษกรรม ตามเงื่อนไขของนายปิยรัฐ ก็คาดว่านายปิยรัฐจะได้รับการล้างผิดไปด้วย เพราะข้อเสนอของนายปิยรัฐให้ยกเว้นเฉพาะคดีทุจริตและคดีมุ่งหมายเอาชีวิตผู้อื่นเท่านั้น

นอกจากประเด็นการเสนอให้รัฐบาลออกกฎหมายนิรโทษกรรมแล้ว การที่นายปิยรัฐยกข้อมูลตัวเลขผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนเกือบ 2 พันคน พร้อมกับเหมารวมว่าเป็นการออกมาใช้สิทธิทางการเมือง แต่หากไปตรวจสอบข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งสนับสนุนการเคลื่อนไหวของม็อบ 3 นิ้ว จะพบว่าผู้ถูกดำเนินคดีดังกล่าว มีพฤติการณ์กระทำความผิดแตกต่างกันไป