No data was found

“ม.หอการค้า” ชี้เลือกตั้ง 66 เงินสะพัด 5-6 หมื่นล้าน อนาคตศก.ไทยขึ้นกับเสถียรภาพรัฐบาลใหม่

ม.หอการค้าไทยฯ คาดเม็ดเงินสะพัดช่วงเลือกตั้ง 5-6 หมื่นล้านบาท ฝากรัฐบาลรักษาการหรือรัฐบาลชุดใหม่ เร่งการใช้จ่ายให้มีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ ในช่วงสุญญากาศ พร้อมมองหากจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว การเมืองมีเสถียรภาพ มีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 3.5-4.0%

วันนี้ (11 พ.ค.66) รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้งว่า ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นที่ปรับตัวดีขึ้น ชี้ให้เห็นถึงความเข้มเเข็งของภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่ปรับตัวดีขึ้น ภาคอุตสาหกรรมมีการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในประเทศ รวมถึงภาคการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นแม้จะติดลบ แต่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า หากเศรษฐกิจไทยมีภาพความชัดเจนและปรับตัวอย่างโดดเด่นภายใต้สถานการณ์การเมืองที่นิ่งและเศรษฐกิจโลกที่มีปัญหา เศรษฐกิจก็พร้อมที่จะฟื้นตัวขึ้นและเข้มแข็งขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เนื่องจากในส่วนของภาคประชาชนนั้น ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับที่ดีสุด ตั้งแต่ก่อนช่วงโควิด-19 แต่ยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย เชื่อว่า ในเรื่องการใช้เงินในภาคการท่องเที่ยวและบริการ ประชาชนมีความพร้อมที่จะจับจ่ายใช้สอย รวมไปถึงสินค้าคงทน อาทิ รถยนต์ บ้าน

ขณะเดียวกัน ประชาชนยังคงกังวลในเรื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงรายได้ที่มีไม่มาก และบรรยากาศโดยรวมของโลกที่อาจส่งผลกระทบให้แก่ประเทศไทย รวมถึงความห่วงใยในเรื่องของบรรยากาศทางการเมือง

รศ.ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า ในส่วนของการเลือกตั้ง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัด 5-6 หมื่นล้านบาท สังเกตุได้จากการที่ธปท.ได้มีข้อมูลออกมาว่ามีเม็ดเงินในระบบเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 5 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะมีความคึกคัก เป็นผลมาจากการที่ทุกพรรคการเมืองแข่งขันเพื่อได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา และเชื่อว่าในช่วงโค้งสุดท้ายการแข่งขันจะมีความเข้มข้นมากขึ้นและมีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ ก่อนลงคะแนนเสียง และจะเป็นพลังสำคัญให้ประชาชนมีการใช้จ่ายต่อเนื่องในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ และมีเม็ดเงินสะพัด 2-3 หมื่นล้านบาทในระยะนี้ รวมถึงมีเม็ดเงินหมุนอยู่ในระบบประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท เป็นฐานในการจับจ่ายใช้สอยในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า

ขณะเดียวกัน ในช่วงของหลังการเลือกตั้ง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังไม่เห็นทิศทางว่าพรรคใดจะมาเป็นรัฐบาล และจะมีแนวนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่อย่างไร ดังนั้น ในช่วงของสุญญากาศทางการเมือง จะเป็นรอยต่อที่สำคัญ และเชื่อว่าการผสมผสานระหว่างรัฐบาลผสม หรือรัฐบาลเสียงข้างมาก หรือรัฐบาลอย่างไรก็ตาม กว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลและมีนายกรัฐมนตรีการเสนอต่อรัฐสภา การเสนอแนวนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาคาดว่าจะเป็นในช่วงของเดือน ก.ค -ส.ค. ซึ่งหลังจากมีรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว จะต้องรอดูว่า ในส่วนของงบประมาณ จะมีการพิจารณากลั่นกรองใหม่หรือไม่ ต้องผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี รวมถึงการพิจารณาจากรัฐสภาหรือไม่ ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการแล้วเสร็จคาดว่าจะใกล้เคียงสิ้นปี ทำให้การใช้เม็ดเงินเพื่อขับเคลื่อนนโยบายแผ่นดินจะสามารถดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 67

ข่าวที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ มองว่าในช่วงรอยต่อของเดือนก.ค.- ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงฮันนีมูนพรีเรียด จะต้องให้กลไกของเอกชนทำงาน โดยที่กลไกของรัฐนั้นทำได้เพียงประคองการใช้จ่ายในช่วงปลายของงบประมาณแผ่นดิน จึงฝากให้รัฐบาลรักษาการรวมไปถึงรัฐบาลชุดใหม่เร่งการใช้จ่าย เพื่อให้มีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ

รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า เศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการจับจ่ายใช้สอยจะค่อยๆ ฟื้นไปตามความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งอิงกับสถานการณ์ทางการเมือง รวมไปถึงบรรยากาศของเศรษฐกิจโลก ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวแบบไซด์เวย์ แต่ทั้งนี้หากมีความชัดเจนในเรื่องของรัฐบาลก็จะเป็นแรงกระตุ้น ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศมากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศไทย ขณะที่ไตรมาสที่ 4 จะคึกคักมากขึ้น จากภาคการท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่น รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในระดับที่ดี และเกษตรกรมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้น อีกทั้ง หากหน้าตาของรัฐบาลที่ออกมานั้นเป็นบวกมากๆ คนจะเริ่มลงทุน รวมถึงมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจมีความคึกคักช่วงนี้ เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้น และค่อยๆ ฟื้นขึ้น

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังไม่ได้มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยยังคงไว้ที่ 3.6% โดยจะประเมินอีกครั้งหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลและมีการแถลงนโยบายเศรษฐกิจต่อรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว และมองว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะโตอยู่ที่ 3.0 – 3.5% มีโอกาสเป็นไปได้สูง และโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้ต่ำกว่า 3% มีน้อย ปัจจัยเดียว ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 3% คือ คือรัฐบาลขาดเสถียรภาพ หรือการเมืองขาดเสถียรภาพ ซึ่งจะบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนักลงทุนทำให้การลงทุนประเทศช้าและกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว เชื่อว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย ขณะเดียวกัน มองว่าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว การเมืองมีเสถียรภาพ โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3.5-4.0% มีความเป็นไปได้สูง

รศ.ดร.ธนวรรธน์ ระบุด้วยว่า ถ้าภายในเดือนส.ค.66 มีรัฐบาลที่ชัดเจน และประชุมครม. ได้ ก็ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมตามกรอบของการเลือกตั้ง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"ศาลฎีกา" ยืนโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา สาวอุทัยฯ เมนต์หยาบหมิ่นเบื้องสูง
พม.จ่อยื่นศาลรอบ 2 ไต่สวนฉุกเฉิน "น้องไนซ์ เชื่อมจิต" เผย 4 มิ.ย.พ่อแม่เด็กขอพบ
"นายกฯ" รับไปหา "วิษณุ" ถก กม. เตรียมชี้แจงศาลรธน.สู้คดี 40 สว.
จำคุก 4 ปี "แอมมี่ ไชยอมร" ไม่รอลงอาญา เผาพระบรมฉายาลักษณ์
ผกก.พัทยา คุมตัว แก๊งการ์ดรุมรัวหมัด แตะหน้า นทท. ปมเหตุบิลดื่ม
จำคุก 2 เดือน "สายน้ำ-ออย" จุดพลุประท้วงคุมตัว "หยก" ปี 66
หนุ่มเมียนมาทะเลาะภรรยา ผูกคอดับคาแคมป์คนงาน ทิ้งจดหมายสั่งลาฝากดูแลลูก
ควายแม่ลูกอ่อนชะตาไม่ถึงฆาต พลัดตก บ่อ บล็อกลึกกว่า 10 เมตรกู้ภัยและชาวบ้านใช้เวลา 3 ชั่วโมง ช่วยได้อย่างทุลักทุเล
"ลูกเกด ชลธิชา" รอดคุก โพสต์โชว์ได้ประกันตัว คดีผิด 112
เฉลยแล้ว “จอห์นวิค” โผล่เมืองไทย ที่แท้เป็นเขยเมืองย่าโม ภรรยาเปิดใจรู้จักผ่านแอปหาคู่

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น