หลังจากที่ลุ้นกันอยู่นาน ว่ากฎหมายลูกเลือกตั้งส.ส.สูตรหาร ๑๐๐ จะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยออกมาแล้วว่ากระบวนการทำกฏหมายลูกไม่ผิดกฎหมายและเนื้อหาในกฎหมายลูกก็ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ จากนี้ถ้าไม่มีใครร้องศาลรัฐธรรมนูญภายใน ๕ วัน ภายใน ๒๐ วันนายกฯจะต้องนำกฎหมายลูกขึ้นทูลเกล้า จากนั้นกฎหมายจะอยู่ในพระบรมราชวินิจฉัยไม่เกิน ๙๐ วันก่อนจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา เบื้องต้น “กูรูกฎหมายรัฐบาล” อย่างวิษณุ เครืองาม ระบุว่าคาดว่ากฎหมายน่าจะลงมาราวเดือนมี.ค. ก่อนหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรจะครบวาระการทำหน้าที่ ๔ ปีในวันที่ ๒๓ มี.ค.๒๕๖๖ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็แน่นอนว่าการยุบสภาจะไม่สามารถทำได้ก่อนกฎหมายลูกจะโปรดเกล้าฯลงมาได้อย่างแน่นอน ตรงนี้จะเป็นไฟท์บังคับให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ลากยาวการบริหารประเทศไปเกือบครบเทอมแน่นอน เพราะยังไงเสียก็ต้องรอกติการการเลือกตั้งให้โปรดเกล้าฯลงมาก่อนอยู่ดี
อย่างไรก็ตามภายหลังสูตรหาร ๑๐๐ ได้รับไฟเขียวจากศาลรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองต่างๆก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าการเลือกตั้งกำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน ไม่แปลกที่ทุกพรรคจะเริ่มเปิดตัวผู้สมัครกันอย่างคึกคัก ลงพื้นที่หาเสียงชูนโยบายกันอย่างต่อเนื่อง เพราะประเด็นสูตรหาร ๑๐๐ น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่หลายพรรคกังวลว่าการเลือกตั้งอาจมาช้ากว่าที่กำหนด หากศาลรัฐธรรมนูญตีตกเรื่องนี้ว่ากฎหมายลูกขัดรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อผ่านไฟเขียวจากศาลรัฐธรรมนูญมาแบบนี้ จากนี้ก็เหมือนทางโล่งมุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งแบบไร้อุปสรรค หนึ่งในพรรคที่ดูเหมือนจะได้อานิสงส์จากสูตรหาร ๑๐๐ ไปแบบเต็มๆ ในบรรดาพรรคการเมืองใหญ่ทั้งหมดก็คือพรรคเพื่อไทย อย่าลืมว่าการเลือกตั้งคราวที่แล้วเมื่อ ๒๔ มี.ค.๒๕๖๒ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเลยแม้แต่คนเดียว เพราะรูปแบบการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว ใช้วิธีการคิดคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบจัดสรรปันส่วนผสม มีเพดานส.ส.พึงมี คะแนนทุกคะแนนไม่ตกน้ำ เที่ยวก่อนพรรคเพื่อไทยจึงไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว แต่ได้ส.ส.เขตไป ๑๓๖ คน จากการส่งส.ส.ไป ๒๕๐ เขต จึงทำให้พลาดการได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเพราะมีส.ส.น้อยเกินไป
แต่มารอบนี้รูปแบบการเลือกตั้งทั่วไปจะกลับไปใช้แบบเก่าเหมือนสมัยปี ๒๕๔๐ บัตรเลือกตั้ง ๒ ใบ เขต ๔๐๐ คน บัญชีรายชื่อ ๑๐๐ คน เรียกว่าเข้าทางตีนพรรคเพื่อไทยเข้าทางนักโทษแดนไกลอย่างทักษิณแบบเต็มๆ เพราะอ่านเกมส์ขาดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ๓ ป.บูรพาพยัคฆ์แตกกัน ยังไงสูตรเลือกตั้งก็ต้องกลับมาที่สูตรหาร ๑๐๐ มากกว่าหาร ๕๐๐ แน่นอน พอรู้ว่าหาร ๑๐๐ แน่ชัด พรรคเพื่อไทยก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองจะกวาดเก้าอี้ส.ส.แบบถล่มทลายเหมือนครั้งยุคทักษิณพรรคไทยรักไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่เคยกวาดส.ส.ไปได้มากถึง ๓๗๗ คน เที่ยวนี้เมื่อกติกาเอื้อประโยชน์แบบนี้จึงมั่นใจมากว่าประวัติศาสตร์เลือกตั้งจะซ้ำรอย
“ กติกาเลือกตั้ง บัตร ๒ ใบ หาร ๑๐๐ จะทำให้พรรคเพื่อไทยมีจำนวน ส.ส.ทิ้งห่างพรรคอันดับสองจำนวนมาก หากดูจากกติกาบัตร ๒ ใบ และผลสำรวจโพลต่างๆ แม้จะออกมาเป็นบวกกับพรรคเพื่อไทย แต่ยังไม่กล้าพูดจะทิ้งขาดลอย ขอให้ติดตามสถานการณ์อีกสักระยะ ถ้าคู่แข่งยังติดปัญหาขัดแย้ง จัดกระบวนทัพไม่ได้ เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะห่างพอสมควร แต่ถ้าคู่แข่งกลับมาตั้งลำได้ก็ต้องไม่ประมาท ในส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อ มั่นใจจะได้ ๕๐ คน จากเดิมพรรคเพื่อไทยเคยทำคะแนนสูงสุด ๑๘ ล้านเสียง แต่การเลือกตั้งปี ๒๕๖๒ ได้มา ๘ล้านเสียง จากการส่ง ส.ส.๒๕๐ เขต แต่การเลือกตั้งครั้งนี้จะส่งครบ ๔๐๐ เขต บวกกับกระแสความนิยมพรรคขณะนี้ น่าจะได้ถึง ๑๘ ล้านเสียง เอามาหาร ๑๐๐ คิด ส.ส.บัญชีรายชื่อ น่าจะอยู่ที่ ๔๕-๕๐ เสียง บวกกับ ส.ส.เขตที่น่าจะได้ ๒๒๐ – ๒๓๐ คน รวมกันแล้วพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.ทะลุ ๒๕๐ เสียง เกินครึ่งของสภาแน่ เห็นโอกาสประตูแลนด์สไลด์เปิดกว้าง” สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
พูดนะมันง่าย แต่เรื่องจริงโอกาสมันไม่ง่ายขนาดนั้น ย้อนหลังกลับไปเมื่อการเลือกตั้งคราวที่แล้ว พรรคเพื่อไทยได้คะแนนทั้งประเทศ ๗,๙๓๓,๑๗๑ คะแนน ขณะที่ผลการเลือกตั้งปี ๒๕๕๔ พรรคเพื่อไทยยุคยิ่งลักษณ์ได้คะแนนรวมทั้งประเทศไป ๑๕,๗๔๔,๑๙๐ คะแนน จะเห็นว่าส่วนหนึ่งที่คะแนนของพรรคเพื่อไทยหายไปกว่า ๗.๘ ล้านคะแนนในการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ส่วนหนึ่งเพราะพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครลงชิงชัยแค่ ๒๕๐ เขตจาก ๓๕๐ เขต ส่วนที่สองมาจากกรณีการเกิดใหม่ของพรรคอนาคตใหม่ที่ทำให้ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยถูกดึงคะแนนไปเลือกพรรคใหม่อย่างพรรค “ส้มบูดล้มเจ้า” มากถึง ๖.๒ ล้านคะแนน ตรงนี้ก็เลยทำให้พรรคเพื่อไทยไม่อาจได้คะแนนถล่มทลายเหมือนเก่า เพราะคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยปันใจไปเลือกพรรคอนาคตใหม่เกือบครึ่ง ส่วนตัวเลข ๑๘ ล้านเสียงที่สุทินเอามาเคลมว่ามีโฮกาสที่พรรคเพื่อไทยยุคลูกสาวนายห้างจะได้ ๑๘ ล้านเสียงก็มีความเป็นไปได้สูง บอกได้เลยว่าไม่มีทางสุทินฝันกลางวันโม้ไปเรื่อยพูดจาเอาสีข้างเข้าถูแบบไม่อายฟ้าดิน กรณี ๑๘ ล้านเสียง เกิดขึ้นในการเลือกตั้งเมื่อ ๖ ก.พ. ๒๕๔๘ ที่พรรคไทยรักไทยยุคทักษิณเทอม ๒ ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายได้คะแนนทั่วประเทศไป ๑๘,๙๙๓,๐๗๓ คะแนน กวาดส.ส.ไป ๓๗๗ คน ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ยุคที่มีบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรคที่ได้คะแนนไป ๗.๒ ล้านคะแนน ได้ส.ส.ไปแค่ ๙๖ คนแบบไม่เห็นฝุ่น แต่การได้แลนด์สไลด์ของทักษิณในตอนนั้น ต้องบอกว่ามาจากการที่ทักษิณกับสมุนไปตกเขียวนักการเมืองไปซื้อแกนนำพรรคการเมืองมาทุกพรรค กวาดต้อนส.ส.ทุกกลุ่มดูดมาทุกก๊วนให้เข้ามาอยู่รวมกับพรรคไทยรักไทยแทบจะหมด ต้อนผู้แทนเข้าคอกใช้แผนโดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์ให้เหลืออยู่พรรคเดียว ไม่ชนะถล่มทลายก็บ้าแล้ว นั้นมันสมัยที่ทักษิณเรืองอำนาจเฟื่องฟู อำนาจ บารมี เงินล้นฟ้า
แต่กลับการเลือกตั้งรอบนี้มันต่างกัน ประการแรกทักษิณคอกเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล อำนาจ บารมี ปืน คนไม่มี เพราะทั้งหมดอยู่ในมือ ๓ ป. บูรพาพยัคฆ์หมด แม้จะแตกพรรคแยกทางกันเดิน ประการที่สองในขั้วทักษิณฝ่ายโกงชาติล้มเจ้าไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันเหมือนเก่า เพราะแม้จะอยู่ขั้วเดียวกันแต่การเมืองตอนนี้ก็มีหลายพรรคหลายหัวต่อสู้กัน ทั้งแดง ทั้งส้ม ทั้งเจ๊หน่อย มีหลายพรรคต่อสู้แย่งชิงกัน ไม่ใช้พรรคเพื่อไทยจะผูกขาดคะแนนนิยมฝ่ายที่ไม่ชอบ ๓ ป.แต่เพียงพรรคเดียว เพราะยังมีพรรคก้าวไกลของพิธา พรรคไทยสร้างไทยของ “เจ๊หน่อย” สุดารัตน์ พรรคเสรีรวมไทยของพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ พรรคประชาชาติของวันมูหะมัดนอร์มะทา ฯลฯ มาแชร์ส่วนแบ่งส.ส.และคะแนน ประการที่สามฝ่ายคู่แข่งฝั่งตรงข้ามก็ไม่ได้มีแค่พรรคสีฟ้าประชาธิปัตย์แค่พรรคเดียว แต่ในยุทธจักรการเมืองปี ๒๕๖๖ ตอนนี้ ยังมีพรรคการเมืองขั้วตรงข้ามไม่เอาทักษิณที่เข้มแข็งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู-ครูใหญ่เน” ที่พร้อมประกาศตัวขึ้นมาเป็นผู้นำขั้วรัฐบาลเก่า เป็นแกนนำรัฐบาลพรรคใหม่ที่จะมาฟัดกับพรรคเพื่อไทย แถมเหลี่ยมคูทางการเมือง กระสุน กระแส ก็มีพร้อมทำสงครามกับพรรคเพื่อไทยคอกทักษิณเต็มกำลัง จับตาดูอีสานรอบนี้พรรคภูมิใจไทยจะขย่มพรรคเพื่อไทยหายใจรดต้นคอในหลายเขตหลายจังหวัด โดยเฉพาะ ๕ จังหวัดอีสานใต้ที่จะมีส.ส.เกือบ ๕๐ คน พรรคสีน้ำเงินสายเขียวประกาศกวาดยกจังหวัดกันเลยทีเดียว ขณะที่พรรคพลังประชารัฐแม้ ๒ ป.จะแตกแยกวงกัน ลุงป้อมอยู่กับพลังประชารัฐ ฝ่ายบิ๊กตู่จะไปรวมไทยสร้างชาติ แต่ทั้ง ๒ พรรคยังประสานประโยชน์เกื้อกูลกันอยู่ในที ในสนามอาจห่ำหั่นแต่ถึงเวลาเชื่อเหอะยังไงลุงป้อมก็ต้องเห็นน้องตู่ดีกว่าโทนี่แน่ พลังประชารัฐอดีตแกนนำรัฐบาลต่อให้ยุบมีปัญหาสารพัดยังไง ลำพังบารมีของลุงป้อมกับสุมนบริวารคงได้ส.ส.กู้หน้ากลับมาพอสมควรอยู่ ทหารตำรวจหัวคะแนนนายทุนนักเลงก็มีอยู่เต็มมือ ฝ่ายพรรคน้องใหม่รวมไทยสร้างชาติลำพังได้กระแสบิ๊กตู่แฟนคลับพล.อ.ประยุทธ์ อย่างน้อย ๔๐-๕๐ คน ก็น่าจะมี ด้านพรรคสีฟ้าประชาธิปัตย์เลือกตั้งเที่ยวหน้าก็หวังล้างอายหลายพื้นที่ กรุงเทพฯที่เคยสูญพันธ์เที่ยวหน้าก็หวังจะกลับมาปักหมุดได้บ้างในบางเขต ส่วนภาคใต้คราวก่อนได้ไป ๒๒ คน ครั้งหน้ากะป้องกันแชมป์ด้วยส.ส. ๓๕ คนอัพ รวมทั้งประเทศ “จุรินทร์-เฉลิมชัย-นิพนธ์” ๓ คีย์มั่นใจได้มากกว่าเดิมเกิน ๕๓ คน ยังมีพรรคเล็กๆ อย่าง พรรคชาติไทยพัฒนาของเสี่ยท็อป พรรคชาติพัฒนากล้าของ “กรณ์-สุวัจน์” พรรคสร้างอนาคตไทยของสมคิดกับสองกุมาร “อุตตม-สนธิรัตน์” พรรคไทยภักดีของหมอวรงค์ พรรคพลังท้องถิ่นไทยของป๋าชัช พรรครวมพลังของเอนก ไหนจะพรรคเล็กๆ ที่ตอนนี้หมอระวีจัดประชุมรวมพลังกำหนดทิศทางกันอยู่ ฯลฯ รวมขั้วฝ่ายรัฐบาลก็น่าจะมีเกินครึ่งสภามากกว่า ๒๕๐ คน ถามตรงๆว่าพรรคเพื่อไทยจะเอาตัวเลขแลนด์สไลด์เกิน ๒๕๐ คน ได้ส.ส.ถล่มทลายทั้งแผ่นดินมาจากไหนกัน ถ้าไม่นอนละเมอกลางวัน ก็คงฝันกลางคืนเป็นแน่
////////////////////
