โดยร่วมกันจัดทำสัญญากู้ยืมเงินระหว่างสหกรณ์กับสมาชิกสมทบ หรือผู้กู้ จำนวน 28 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,858,440,000 บาท โดยไม่มีการกู้ยืมเงินกันจริง และร่วมทำบันทึกรายการทางการเงินอันเป็นเท็จ โดยไม่มีการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยจากลูกหนี้ที่กู้ยืมเงิน
สัญญากู้ยืมเงินเท็จดังกล่าว เพื่อปกปิดการทุจริต และมีการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อตกแต่งบัญชีของสหกรณ์ ให้มีผลประกอบการกิจการที่มีผลกำไรสุทธิปรากฏในงบการเงินและงบดุลของสหกรณ์ ทั้งที่ความจริงผลประกอบการของสหกรณ์ขาดทุนมาตลอด ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ไม่สามารถประกอบกิจการได้ และไม่สามารถจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนได้ การขยายสาขาออกไปต่างจังหวัดนั้นก็ไม่สามารถทำได้
การกระทำของนายศุภชัยกับพวกเป็นการกระทำไปโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย มีสมาชิกได้รับความเสียหาย จำนวน 2,254 ราย โดยพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 ได้ยื่นฟ้องนายศุภชัยกับพวกเป็นคดีหมายเลขดำ อ.3339/2559 ต่อศาลนี้แล้ว
ระหว่างวันที่ 15 มิ.ย.2553 ถึงวันที่ 17 ก.ย.2553 ต่อเนื่องกัน นายศุภชัยกับพวกซึ่งยังไม่ได้นำตัวมาฟ้องได้ร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนอันเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
เมื่อนายศุภชัยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารพาณิชย์เพื่อนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนออกจากสหกรณ์เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นบัญชีของผู้มีชื่อ อันเป็นการสมทบกันฟอกเงิน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่ได้ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น เพื่อปกปิดหรือเพื่ออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้งการจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน
ต่อมาคณะพนักงานสืบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่ ปปง.มีความเห็นว่าพฤติการณ์ของนายศุภชัยกับพวก เป็นการกระทำความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ก่อนมีคำสั่งให้อายัดที่ดิน 36 แปลง ที่เกี่ยวข้องกับการร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
และแต่งตั้งคณะทำงานประสานงาน ดำเนินการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายเพื่อดำเนินการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย และมีมติให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายเพื่อนำเงินคืนสหกรณ์ และเยียวยาความเสียหายแก่สหกรณ์โดยด่วน
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานหรือหน่วยงานของรัฐและนายศุภชัย และนายโชคอนันต์ ช้อยสุชาติ จำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำ ฟ.10/2562 ของศาลนี้ ซึ่งศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษแล้วได้ร่วมกันสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน โดยจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันวางแผนสมคบกัน
โดยนายศุภชัยและนายโชคอนันต์โอนเงิน จำนวน 249,784,489 บาท ที่ได้รับแคชเชียร์เช็คมาจากผู้ซื้อที่ดินโดยโอนเงินผ่านระบบธนาคารโอนเข้าบัญชีนายศุภชัย ก่อนโอนเงินผ่านระบบธนาคารเพื่อนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยทั้งสองกับพวก หรือให้จำเลยทั้งสองกับพวกรับเงินสดหรือรับโอนเงินไปอันเป็นการสมคบการฟอกเงิน
ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะโอนเงินให้แก่พวกของจำเลยทั้งสอง ซึ่งยังหลบหนีไม่ได้นำตัวมาฟ้อง จึงเป็นการร่วมกันโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือจะทำการด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานนั้นอันเป็นความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน
เหตุเกิดที่แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ตำบลลาดบัวขาว และตำบลใดไม่ปรากฏชัด อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา และตำบล อำเภอ จังหวัดใดไม่ปรากฏชัดของประเทศไทยเกี่ยวพันกัน ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
การกระทำของจำเลยตามข้อความที่กล่าวมาในคำฟ้องเป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3, 5, 9 ,10, 60 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 และขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 สองเท่าตามกฎหมายด้วย
