พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงประเด็นการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะมีสายพันธุ์เดลตา ว่า รัฐบาลได้มีการปรับเปลี่ยนและปลดล็อคในหลายเรื่องเพื่อเอาชนะเชื้อโควิด19 โดยเร็ว โดยแบ่งเป็น 4 ระบบ คือ ระบบการป้องกันจัดหาวัคซีนให้ได้โดยเร็ว โดยฉีดไปแล้วกว่า 12 ล้านโดส และกระจายเพิ่มอีก 5 ล้านโดส ซึ่งระดมปูพรมฉีดให้รวดเร็วในพื้นที่สีแดงกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะ ให้ครบภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ทั้งนี้แม้การฉีดวัคซีนจะไม่ได้หมายความว่าจะไม่ติดเชื้อแต่จะลดความรุนแรงของโรคลงได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลปลดล็อกให้ประชาชนสามารถใช้ชุดตรวจแบบ Antigen test kit เพื่อให้สามารถตรวจในเบื้องต้นแก่กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง โดยให้อยู่ในการควบคุมดูแลของสถานพยาบาลและเภสัชกร แต่ก็ต้องมีการตรวจซ้ำด้วยการ Swab test เพื่อให้ได้ยืนยันผลตามค่ามาตรฐาน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลควบคุมให้มีราคาที่ถูกต้องเป็นธรรมไม่ให้ประชาชนได้ได้รับผลกระทบ รวมถึงยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าวัคซีนทางเลือกและชุดตรวจ Antigen test kit
นายอนุชา กล่าวว่า ศบค.ยังมีการจัดชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อลงไปตามจุดพื้นที่ต่าง ๆ ให้เกิดความคล่องตัวในการคัดกรองระดับชุมชนจำนวน 200 ทีมซึ่งประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์ ฝ่ายความมั่นคงและบุคลากรของกทม. 50 เขต เพื่อค้นหาและคัดกรองผู้ติดเชื้อทั่วกรุงเทพมหานคร และแยกผู้ติดเชื้อออกมาเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลโดยเร็ว พร้อมกับระบบการกักตัวของผู้ที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศอย่างมีระบบและมาตรฐาน และมีการขยายเตียงเพิ่มเติมตามจุดโรงพยาบาลเช่นโรงพยาบาลบุษราคัม เพิ่มอีกถึง 1,000-2,500 เตียง ทำให้รองรับได้ขณะนี้ 3,700-4,000 เตียง พร้อมเปิดศูนย์พักคอย 17 แห่ง รองรับผู้ป่วย 2,560 เตียง ขยายให้ได้ถึง 3,000 เตียง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้ยังมีการใช้ระบบแยกกักตัวที่บ้านหรือ Home Isolation สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไม่มีอาการหรืออาการสีเขียวที่มีอาการน้อยมากโดยไม่ต้องรักษาที่โรงพยาบาล โดยอยู่ในความดูแลดุลยพินิจของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะมีระบบการติดตามรักษาโดยใช้ระบบเทเลเมดิซีน และเครื่องมือวัดไข้ วัดค่าออกซิเจนในเบื้องต้น พร้อมทั้งยาเวชภัณฑ์ในการรักษาซึ่งจะไม่ต่างกับการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและจะมีอสม. อาสาสมัครลงไปดูแลระหว่างรักษาตัวที่บ้าน หากผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลงจะมีการนำส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที ซึ่งค่าใช้จ่ายรัฐบาลจะเป็นผู้ออกให้ทั้งหมด
นายอนุชา กล่าวว่า ขณะนี้มีข่าวดี ที่ประเทศไทยเราสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในประเทศได้แล้ว และเตรียมขึ้นทะเบียนตำรับยากับอย. ลดการนำเข้าจากต่างประเทศโดยมีอัตราการผลิตอยู่ที่ 3-5 ล้านเม็ดต่อเดือน โดยจะเร่งกระจายไปตามสถานพยาบาลต่าง ๆ และโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศได้ทันที พร้อมกันนี้รัฐบาลส่งเสริมให้มีการใช้สมุนไพรไทยคือฟ้าทะลายโจรอย่างจริงจังใช้สำหรับกับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยในระยะเริ่มต้นที่แยกกักตัวอยู่ที่บ้านได้
ส่วนประเด็นการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่ไม่เป็นไปตามเป้านั้น นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องของการส่งมอบซึ่งจะจัดหาวัคซีนชนิดอื่นมาทดแทน เช่นไฟเซอร์ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และ สปุตนิก วี จะเร่งหาเพิ่มเติมเข้ามา