วันที่ 2 มิ.ย.- สำหรับเหตุการณ์การปะทะระหว่างตำรวจรัฐสภา และทีมงานของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เกิดขึ้นบริเวณอาคารบี 2 ห้องโถงกลาง อาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นทางขึ้นไปยังชั้น 2 ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรของสมาชิกรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี ( ครม.) โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเช้าวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 โดยบริเวณจุดดังกล่าวมีการติดป้ายไว้ว่า “ทางเข้าเฉพาะ ส.ส. -ส.ว.เท่านั้น ผู้ติดตามและบุคคลภายนอกห้ามเข้า” และ “เฉพาะสมาชิกเท่านั้น” เพื่อป้องกันความวุ่นวาย และเป็นมาตรการป้องกันโควิด-19 ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกตำรวจที่ถูกเรียกให้ไปขอโทษ ร.อ.ธรรมนัส เข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยนายชวนเรียกพบ 2 ครั้ง ช่วงแรกเวลา 20.00 น. ของวันที่ 1 มิ.ย. เรียกไปให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากถือว่าเคร่งครัดตามกฎระเบียบที่ได้บังคับเอาไว้ในการป้องกันโควิด -19
จากนั้น เวลา 22.00 น. วันที่ 1 มิ.ย. ภายหลังทำหน้าที่ประธานในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว นายชวนก็ได้เรียกตำรวจคนดังกล่าวมาสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยตำรวจคนดังกล่าวเล่าว่า ในวันดังกล่าว ร.อ.ธรรมนัสมีผู้ติดตามมา 5 คน และ 1 คนไม่ได้ติดบัตร จึงทำให้ตำรวจสภาได้แจ้งให้ติดบัตร และขอให้ผู้ติดตามไปเข้าประตูทางด้านอื่น เพราะพื้นที่ตรงนั้นถือเป็นพื้นที่หวงห้ามและให้เข้าได้เฉพาะครม. และสมาชิกรัฐสภาเท่านั้น แต่ผู้ติดตาม ร.อ.ธรรมนัสยังยืนยันที่จะเดินเข้าไปด้วย จนมีการถกเถียงกับตำรวจสภา ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส ที่เดินนำหน้าไปก่อนหน้า ได้หันมามองด้วยอาการไม่พอใจ พร้อมกับพูดว่า “จะเอาอะไรกันนักหนา เพราะปกติก็เข้าได้ทุกวัน”
ทางตำรวจสภาฯรายนั้นแจ้งว่า “ห้ามคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นมาตรการเข้มข้นของท่านประธาน เพราะเป็นช่วงโควิด” ร.อ.ธรรมนัสจึงถามกลับอย่างมีอารมณ์ว่า “ประธานคนไหน ใครสั่ง” ตำรวจจึงอ้างชื่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ส่งผลให้ร.อ.ธรรมนัส ถึงกลับนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่ยังให้ทั้ง 5 คนขึ้นบันไดเลื่อนไปห้องชั้น 2 โดยขณะนั้น มีข้าราชการหญิงระดับผู้อำนวยการ ( ผอ.) สองคนรออยู่บริเวณชั้นสอง จากนั้นก็มีการประสานให้ตำรวจสภาคนดังกล่าวขึ้นไปขอโทษ ร.อ.ธรรมนัส
ตำรวจสภาฯ คนดังกล่าว แจ้งกับนายชวนว่า บุคลิกของตนเองพูดเสียงดัง ไม่ได้ตั้งใจก้าวร้าวและเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ก็ได้มีการประสานให้ตนเข้าไปขอโทษ ร.อ.ธรรมนัสที่นั่งรออยู่ที่โซฟาหน้าห้องประชุม และผอ.ผู้หญิงที่อยู่ในที่นั้นด้วยได้แจ้งกับตำรวจคนดังกล่าวว่า “อย่ายืนค้ำหัวท่าน” ทำให้ตำรวจต้องคุกเข่าและก็ได้ยกมือขอโทษ ซึ่งเหตุการณ์นี้ ส.ส.คนอื่นๆ ที่อยู่รอบห้องประชุมสภาฯ ก็เห็น ซึ่งนายชวนให้ตำรวจสภาฯ เรียกมาชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะเห็นว่ามีข้าราชการสภาฯ เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ทั้งนี้เมื่อผอ.หญิงทั้ง 2 คน ทราบว่า นายชวนเรียกตำรวจสภาฯ ที่มีเรื่องเข้าไปสอบถามข้อเท็จจริง ก็พยายามมาดักรอหน้าห้องพักนายชวน เพื่อขอเข้าไปชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้าง ทั้งที่นายชวนไม่ได้เรียก แต่เมื่อนายชวนทราบว่าทั้ง 2 คนมาพบก็เรียกเข้าไปคุย และได้ตำหนิพฤติกรรมข้าราชการหญิงดังกล่าว และยืนยันว่า จากการสอบถามแล้วตำรวจไม่ได้ผิด เหตุใดต้องให้ตำรวจเข้าไปขอโทษ เพราะตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดตามกฎระเบียบที่ประธานรัฐสภากำชับไว้