มหากาพย์ความขัดแย้งระหว่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กับ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ คงไม่มีวันสงบจบลงได้ง่ายๆ อย่างที่ทราบว่าก่อนหน้านี้ทั้งคู่ก็เกาเหลางัดข้อกันมาตลอด จุดเริ่มต้นเรื่องนี้มาจากภายหลังจากที่ร.อ.ธรรมนัสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เมื่อ 18 มิ.ย. 2564 ภายหลังการประชุมใหญ่ ณ จ.ขอนแก่น มีความพยายามจากส.ส.ในพรรคก๊วนร.อ.ธรรมนัสกลุ่มผู้กองแป้ง พยายามเรียกร้องกดดันให้พล.อ.ประยุทธ์ปรับครม.อัพเลเวลให้กับร.อ.ธรรมนัสเพื่อให้สมศักดิ์แกนนำหมายเลข 2 ของพรรคแกนนำรัฐบาล แต่ปะเหมาะเคราะห์ร้ายโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง สถานการณ์ตอนนั้นไม่เอื้ออำนวยเพราะไทยกำลังเผชิญปัญหาแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 มีคนติดเชื้อใหม่ตกวันละ 2 หมื่นคน แถมบรรยากาศทางการเมืองก็ไม่สู้ดีนักเพราะพล.อ.ประยุทธ์กำลังเจอศึกหนักหลายเรื่อง ทั้งแก้ปัญหาโควิดผิดพลาด นำเข้าวัคซีนล่าช้า ยาไม่พอแจก เตียงไม่มี คนไข้ล้นโรงพยาบาล หนำซ้ำยังอยู่ระหว่างพรรคฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เรียกว่าเจอสารพัดปัญหาจิปาถะ ด้วยเหตุนี้พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่อยากเอาเรื่องการเมืองเอาเรื่องปรับครม.มากวนใจ ที่อาจทำให้คนไทยส่วนใหญ่ตำหนิรัฐบาลได้ว่ายุ่งแต่เรื่องการเมืองไม่สนใจเรื่องชีวิตผู้คนความเป็นความตาย เพราะเหตุนี้จึงไม่แตะไม่ออกตัวเรื่องปรับครม.ให้ถูกตำหนิว่าไม่รู้จักกาลเทศะ
แต่เรื่องดังกล่าวดันกลับตาลปัตรกลายเป็นเหตุให้ร.อ.ธรรมนัสไม่พอใจ เสมือนถูกลดความสำคัญไม่เห็นคุณค่าไม่ให้ราคา ผ่านไปเดือนกว่าเกือบสองเดือนแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าพล.อ.ประยุทธ์จะปรับครม. ดันร.อ.ธรรมนัสขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการ ขึ้นชั้นให้เป็นรัฐมนตรีเกรดเอกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งให้สมฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่สุดไฟในทรวงที่คับแค้นอยู่แล้วบวกกับความคิดที่ว่าตัวเองถูกกระทำจากนายกฯฝ่ายเดียว สุดท้ายจึงนำไปสู่การคิดการใหญ่ด้วยภารกิจ “ลับ ลวง พราง” คุยพรรคเล็กจ้างผู้แทนหวังคว่ำพล.อ.ประยุทธ์ให้ตกเก้าอี้ผู้นำประเทศ ระหว่างศึกซักฟอกที่พรรคฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 31 ส.ค.- 4 ก.ย. ท่ามกลางกระแสข่าวได้น้ำเลี้ยงจากนายใหญ่คนแดนไกลฝ่ายตรงข้าม อัดฉีดเม็ดเงิน 2,000 ล้านบาทมาช่วยสมทบทุนภาจกิจคว่ำบิ๊กตู่ เท็จจริงได้เสียจ่ายเงินกันเท่าไหร่ไม่มีใครทราบ แต่เดชะบุญที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตกหลุมพรางไม่ติดกับดัก แถมรู้แกวแก้เกมส์เลื่อยขาได้ทันท่วงที ที่สุดเลยเอาตัวรอดจากแผนคว่ำนายกฯคาสภามาได้แบบหวุดหวิดแต่ก็หวิดดับคาสภา กลายเป็นผู้นำประวัติเสียไปเช่นกัน
ที่สุดประเด็นนี้ก็กลายเป็นจุดแตกหักให้พล.อ.ประยุทธ์ออกมาให้สัมภาษณ์เปิดใจ มีคนไม่เป็นสุภาพบุรุษอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือมีการไปแอบอ้างสถาบันว่าต้องการเปลี่ยนตัวผู้นำ สุดท้ายปลายทางก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายให้พล.อ.ประยุทธ์ไม่ลังเลที่จะเฉือนเนื้อร้าย ปลดร.อ.ธรรมนัสที่เป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์ รวมถึงนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงานที่เป็นลูกคู่เดินเกมส์ล้มผู้นำฯพ้นครม.เรือแป๊ะ จากนั้นระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับร.อ.ธรรมนัสก็กลายเป็นเส้นขนานเดินแยกทางกันมาตลอด แม้พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์อย่าง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐพยายามจะลงมาเป็นกาวใจให้กับทั้งคู่มาโดยตลอด และยืนกรานไม่มีความบาดหมางระหว่างน้องรักทั้งสองคนและทุกอย่างเคลียร์กันจบแล้ว แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 3 เดือนเศษหลังเกิดเรื่องระหว่างกันตั้งแต่ ก.ย.จนถึงปัจจุบัน เรียกว่ามีเรื่องขบเหลี่ยมงัดกันมาตลอด
ไล่ตั้งแต่ร.อ.ธรรมนัสดึง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่เป็นพี่เลิฟผู้กว้างขวางอีกคนเข้ามาผนึกกำลังเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐกันอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์แทรกซึมเข้ามาในพรรค ฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ก็แก้ทางด้วยการส่ง “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายการเมืองเข้ามานั่งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐมาอยู่ใกล้ๆลุงป้อมแถมเสนอยุทธศาสตร์ปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ตั้งหัวหน้า 10 ภาคลดบทบาทเลขาธิการพรรค ต่อมาก็เกิดเกาเหลาเรื่องจัดหมายต่างจังหวัดที่พรรคพลังประชารัฐดันจัดคิวของพล.อ.ประวิตรให้ตรงกับนายกฯ เล่นแง่วัดพลังระหว่างส.ส.ในพรรคกันไปเลยว่าใครอยู่ฝ่ายไหนใครจะไปกับลุงป้อมหรือไปกับบิ๊กตู่ จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตว่าคนในรัฐบาลงัดข้อกันเอง เรื่อยไปจนถึงกรณีที่วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ที่ทุกคนรู้ดีว่าเป็นแบ็กอัพให้ร.อ.ธรรมนัสเป็นมือคอนโทรลกลเกมส์ในสภาถูกศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองชี้มูลความผิดคดีเอี่ยวทุจริตฟุตซอลจนต้องถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ เรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นการตัดมือตัดตีนร.อ.ธรรมนัสลดอำนาจในพรรคในสภาลง จากนั้นก็มีความพยายามจากพล.อ.ประยุทธ์ในการไล่บี้ปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ถึงขนาดจับเข่าคุยกับแกนนำในพรรคเกือบสิบคนให้เตรียมตัวเซ็นใบลาออกกันไว้หมดแล้ว อาทิ กลุ่มสามมิตรของสุริยะ จึงรุงเรืองกิจ , สมศักดิ์ เทพสุทิน , อนุชา นาคาศัย รวมถึงสุชาติ ชมกลิ่น, ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, สันติ พร้อมพัฒน์ ฯลฯ เพื่อให้กรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันที่มีร.อ.ธรรมนัสเป็นเลขาธิการพรรคพ้นสภาพไปโดยอัตโนมัติ แต่เรื่องนี้ก็ถูกพล.อ.ประวิตรออกโรงเบรกห้ามปรามไว้ จนความพยายามที่ว่าต้องแท้งไปในที่สุด
ทั้งหลายทั้งมวลที่ว่านันแค่ส่วนหนึ่งของความบาดหมางและเรื่องราวไม่ลงรอยระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับร.อ.ธรรมนัส ความจริงมีอีกหลายเรื่องไล่เรียงกันไม่จบสิ้น ล่าสุดก็เป็นกรณีการสลายการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นหน้าทำเนียบรัฐบาลช่วงค่ำวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่าน งวดนี้พล.อ.ประยุทธ์ออกโรงเฉ่งร.อ.ธรรมนัสประเด็นที่ไปรับปากชาวบ้านแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เรื่องเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ทั้งๆที่การแก้ไขปัญหายังไม่สะเด็ดน้ำยังไม่สรุปว่าจะเอายังไง ” สิ่งใดก็ตามเคยบอกแล้วว่า การไปเจรจาอะไรกับเขาอย่าไปรับปากอะไรเขามาทันที ถ้ายังไม่เข้าการพิจารณาของครม.หรือรัฐบาล ไม่ว่าใครก็ตาม…. เราต้องมองสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนที่ไม่เป็นประโยชน์และเป็นปัญหา ไม่ต้องไปทำแค่นั้น ต้องทำให้ถูกต้องตาม กติกากฎหมาย การไปพบปะเจรจาของใครแล้วแต่ เวลาไปพูดไปตกลงกับเขาอย่าลืมว่าไม่ได้ผ่านครม. เตือนหลายครั้งแล้วเวลาไปให้รับข้อสังเกตมาแล้วนำมาสู่การแก้ไขปัญหาในรัฐบาล นั่นคือวิธีการทำงานของรัฐบาลจะต้องรอบคอบ” นายกฯระบุ
ด้านร.อ.ธรรมนัสพอรู้ว่าโดนนายกฯอัดเรื่องนี้ ก็อัพเฟซบุ้คทันที หลังพ้นจากการเป็นตำแหน่ง รมช. เกษตรฯ ไม่สามารถสานงานต่อปัญหาของพี่น้องชาวจะนะ แต่ได้ประสานจากเพื่อนๆ ส.ส. หลายท่าน ให้เข้ามาช่วยเหลือพี่น้องชาวจะนะเหมือนเดิม แต่ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นไม่สามารถไปก้าวล่วงคณะทำงานชุดใหม่ของรัฐบาลได้อีก ผมยังเป็นห่วงพี่น้องชาวจะนะและผมจะใช้ระบบสภาผู้แทนราษฎรเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องชาวจะนะต่อไป ถึงผมจะเป็นคนภาคเหนือ แต่มีโอกาสเติบโตที่ภาคใต้ คนใต้ก็เหมือนพี่น้องผม ผมจะติดตามและใช้ระบบสภาผู้แทนราษฎรเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องชาวจะนะต่อไป ” วันนั้นระหว่างที่คุยกันกับตัวแทนของพี่น้องชาวจะนะ มีปลัดสำนักนายกฯ เป็นคณะทำงานด้วย เป็นที่มาที่ไปของเอ็มโอยู ทั้ง 3 ข้อ ถามว่า ครม.รับทราบไหม ถ้าเท้าความไปแล้วกว่าจะออกฉบับนั้นและเสนอเข้า ครม.วันนั้น ถกเถียงใน ครม.เกือบชั่วโมง ไม่ใช่ว่าผมไปตกลงเอง คงเป็นความเข้าใจผิด” ร.อ.ธรรมนัสสวนนายกฯ รายงานความคืบหน้าในผู้นำและครม.รับทราบทุกขั้นตอน ไม่มีมั่วไม่มีการทำอะไรตามอำเภอใจไม่มีการรับปากชาวบ้านแบบส่งเดช
สวนกันคนละหมัดจัดกันคนละดอก ฝ่ายหนึ่งเป็นนายกฯผู้นำรัฐบาลบริหารประเทศ อีกฝ่ายเป็นนักเลงการเมืองผู้กว้างขวางมากบารมีมีอิทธิพลในพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไปคนละทางเดินคนละแนว อนาคตหลายคนก็เลยเป็นห่วง เหลือเวลารัฐบาลอีกปีเศษ ยังมีกฎหมายสำคัญๆอีกมาก มีงานใหญ่รออยู่อีกเพียบ แต่นายกฯกับเลขาฯพรรคแกนนำเดินคนละทาง ขัดแย้งกันเอง เรือแป๊ะจะไปไหวไหม พรรคพลังประชารัฐจะหนุนพล.อ.ประยุทธ์เสนอชื่อเป็นนายกฯต่อหรือไม่ หรือจะงัดกันจนพังเรือแป๊ะคว่ำก่อนถึงฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์กับร.อ.ธรรมนัส สวนกันตลอด ซัดกันประจำ ไร้เอกภาพ ดูแล้วไปต่อยากจริงๆ
///////////////////