จากกรณีที่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการเผยแพร่คลิปไลฟ์สดของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กรณีการไลฟ์สดเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของรัฐบาล โดยมีเนื้อหาพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำสั่งให้ระงับคลิปตามที่ดีอีเอสยื่นร้องขอ ต่อมานายธนาธรได้ยื่นคัดค้าน จนศาลมีคำสั่งคดีหมายเลขดำ พศ.76/2564 ว่า จากการที่ศาลพิเคราะห์ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงโดยละเอียด เนื้อหาที่นายธนาธร ผู้คัดค้านกล่าว มุ่งเน้นการกล่าวหารัฐบาลบกพร่อง ข้อมูลเรื่องผู้ถือหุ้นเป็นเพียงส่วนน้อย ไม่เป็นประเด็นหลักในการนำเสนอ ไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนถึงกับกระทบความมั่นคง จึงให้คำสั่งศาลที่ให้ระงับการเผยแพร่คลิปเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2564 เป็นอันสิ้นผล ให้ยกคำร้องนั้น ซึ่งต่อมากระทรวงดีอีเอส ได้ยื่นอุทธรณ์
ต่อมาศาลอุทธรณ์ ได้มีคำสั่งออกมาเมื่อวันที่ 19 ต.ค.64 ว่า การเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ในเวปไซต์ 3 URL ของผู้ถูกร้องมีเนื้อหาอันเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ในหมวดความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งการที่ผู้ถูกร้องกล่าวหา การทำงานของรัฐบาล โดยที่ระบุว่า รัฐบาลไม่พยายามจะจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรให้มากกว่าร้อยละ 21.5 กล่าวหาว่ารัฐบาลมุ่งผลทางการเมืองมากกว่าดูแลประชาชน กล่าวว่าบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ไม่อยู่ในแผนความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ฝากความหวังไว้กับ บริษัท แอสตราเซเนกา และบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด มากเกินไปก่อนจะสรุปว่า หากเกิดความผิดพลาด นายกรัฐมนตรีจะรับผิดชอบไหวหรือไม่ เพราะประชาชนตั้งคำถามกับ สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งมีผู้ถือหุ้นคือ …… ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6 บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้ “ ศาลพิเคราะห์ว่า แม้ข้อความดังกล่าวจะกล่าวหาว่ารัฐบาลบกพร่องในการจัดหาวัคซีน แต่มีการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์เกี่ยวกับการถือหุ้นของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งบริษัท แอสตราเซเนก้า ว่าจ้างให้ผลิต มีลักษณะมุ่งกล่าวให้ผู้ใช้บริการในการ เข้าสู่อินเตอร์เน็ตเข้าใจว่า …มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการวัคซีนที่เป็นปัญหา
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ อันเป็นการละเมิดและกล่าวหาพระมหากษัตริย์ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งรัฐ มิใช่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีความเห็นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษาให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ทั้ง 3 URL
เป็นที่จัดเจนแล้วว่าในยกที่สองนั้น ศาลเห็นพ้องกับผู้ร้องคือกระทรวง ดีอีเอส ถึงแม้ว่าในคดีนี้จะไม่มีผลทางอาญาไม่สามารถเอาผิดโทษได้ แต่ก็จะเป็นบรรทัดฐานของคำพิพากษาและนำคำพิพากษาไปประกอบกับคดีอาญาที่ มีผู้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไว้ที่ สน.นางเลิ้ง จำนวน 3 ข้อหา คือ ความผิด ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ม.14 ความผิดฐานหมิ่นประมาท หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
เมื่อท็อปนิวส์ ตรวจสอบคำให้การของนายธนาธร ที่ให้การหักล้างข้อกล่าวหา ส่วนหนึ่งว่า การแจ้งความดังกล่าวเป็นการดำเนินคดีซ้ำ กับที่ยื่นฟ้องศาลอาญา ซึ่งศาลชั้นต้นได้ยกคำร้องแล้ว จึงขอให้พนักงานสอบสวนยุติการดำเนินคดีและมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้เสีย
แต่ที่สุดแล้ว พนักงานสอบสวนสน.นางเลิ้ง ก็เดินหน้าทำคดีต่อเนื่อง จนมีความเห็นส่งตัวให้อัยการ ซึ่งมีข่าวปรากฏว่า ทางอัยการเตรียมสั่งฟ้องในวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ปรากฏความคืบหน้าจากทางอัยการแต่อย่างใด
ล่าสุด ทีมข่าวท็อปนิวส์ สอบถามไปที่นายอภิวัฒน์ ขันทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และดำเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี 32/2563 ในฐานะผู้ร้อง ระบุว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งมาว่า ทางอัยการยังไม่ได้มีการสั่งฟ้องในกรณีดังกล่าว แต่ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพิจารณาสำนวนเพิ่มเติม ซึ่งรายละเอียดหลังจากนี้จะต้องรอผลการพิจารณาจากคณะทำงานชุดดังกล่าวสรุปความเห็นลงมาก่อน
