คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เชิญ 5 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ กสทช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงการดำเนินการเอาผิดกับ “นัท นิสามณี เลิศ วรพงษ์” เน็ตไอดอลและบิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “สะบัดแปรง” ที่แต่งกายเลียนแบบพระพุทธเจ้า ด้วยการแต่งกายไม่เหมาะสมและกระทบพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่น
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวก่อนการประชุมว่า การกระทำของ “นัท นิสามณี” เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายฉบับ จึงมีมติเชิญหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบเพื่อมาให้ข้อมูล และการดำเนินการว่าเป็นอย่างไร เพราะเรื่องดังกล่าวถือว่ากระทบต่อจิตใจประชาชนหลายล้านคน ถ้าหน่วยงานของรัฐเพิกเฉยไม่ดำเนินการ เกรงว่าจะเป็นปัญหาในอนาคตได้ เรื่องนี้เสียหายมากเพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ทำเช่นนี้
นายไพบูลย์ กล่าวว่า วันนี้จะฟังการให้ข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากมีที่จะต้องกล่าวโทษ ก็อยากจะทราบถึงขั้นตอนหลังจากนี้ แต่คงไม่ถึงขั้นที่ กมธ.ฯ จะไปฟ้องร้องเอง เพราะมีบุคคลและสมาคมไปฟ้องร้องแล้วส่วนที่ไม่ได้เชิญเจ้าตัวมาให้ข้อมูลนั้น เพราะเขาเป็นผู้กระทำความผิด จึงไม่ควรเปิดโอกาสให้ขยายผล เจ้าตัวอาจไม่ได้คิดอะไร แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ภายหลังการประชุม นายสุชาติ อุสาหะ ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า คณะกรรมาธิการฯ หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีการดำเนินการเอาผิดกับ “นัท นิสามณี เลิศวรพงษ์” เน็ตไอดอล ที่ประชุมมีมติให้ กมธ. ทำเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอโอนคดีมาที่กองปราบปราม เนื่องจากขณะนี้มีการแจ้งความหลายพื้นที่ ทั้ง จ.ปทุมธานี และ จ.เชียงใหม่ และมอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเจ้าภาพยื่นดำเนินคดีกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินคดีกับ “นัท นิสามณี” และยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะที่ผ่านมาจะพบการกระทำความผิดแบบนี้ และจบด้วยการขอโทษ ดังนั้นเรื่องนี้จะเป็นกรณีศึกษา เพื่อไม่ให้นำศาสดามาทำสิ่งไม่ควรแบบนี้
นายสุชาติ กล่าวว่า ส่วนของการพิจารณาโทษนั้น ทาง กมธ. ได้จี้ให้ทุกองค์กรทำให้ชัดเจน เพราะจะมองว่ารัฐบาลไม่สนใจเรื่องนี้ เบื้องต้นได้พิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 และ ม.15 และกฎหมายอาญา ม.208 ที่ระบุไว้ว่า ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามเหตุผลที่ไม่เชิญเจ้าตัวมาชี้แจง เพราะไม่อยากให้มีการขยายผลผ่านสื่อต่อประชาชน เพราะไม่เป็นผลดีต่อผู้เฝ้ามอง การดำเนินการของ กมธ. ตนในนาม กมธ. อยากฝากไปถึงเจ้าตัวว่า สิ่งที่ทำไม่สมควรอย่างยิ่ง ส่วนจะผิดกฎหมายอย่างไร ก็ขอให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการกันไป
ต่อข้อถามว่า การที่ไม่เชิญเจ้าตัวมาให้ข้อมูล จะเป็นธรรมหรือไม่นั้น ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า เชื่อว่า เรื่องนี้ให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายดำเนินการ เพราะมีการยื่นให้ตรวจสอบมากกว่า 3-4 องค์กร และเชื่อว่าหลังจากนี้ไม่เกิน 2 สัปดาห์จะมีความชัดเจนทางคดี