วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 เวลา 08.30น. ที่โรงเรียนอนุบาลพิจิตร อ.เมืองพิจิตร สหกรณ์ออมทรัพย์ครูพิจิตร ได้จัดให้มีการเลือกตั้งประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูพิจิตรและกรรมการสหกรณ์ฯ ซึ่งจัดให้ มีหน่วยเลือกตั้ง 13 หน่วย ใน 12 อำเภอ รวมถึงที่วิทยาลัยเทคนิคพิจิตรอีก 1 หน่วย โดยบรรยากาศที่หน่วยเลือกตั้ง รร.อนุบาลพิจิตร ซึ่งถือเป็นหน่วยใหญ่ที่มีผู้มีสิทธิลงคะแนนที่ต้องเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูพิจิตรมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน จึงจะมีสิทธิลงคะแนนเพื่อเลือกประธานและกรรมการของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูพิจิตร เพื่อไปบริหารงานทที่มีวาระคราวละ 2 ปี สำหรับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูพิจิตรแห่งนี้มีสมาชิกสามัญประมาณ 9,500 ราย และสมาชิกสมทบประมาณ 3,400 ราย มีทุนดำเนินการ 17,337 ล้านบาทเศษ

การจัดการลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้สิ่งที่น่าสนใจ คือ ผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนซึ่งล้วนเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูพิจิตรที่กระจายกันไปใช้สิทธิลงคะแนนใน 13 หน่วย 12 อำเภอของ จ.พิจิตร โดยที่ อ.เมืองพิจิตรมี 2 หน่วยใหญ่ คือที่ ร.ร.อนุบาลพิจิตร และวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากผู้ที่มาลงคะแนนจะได้รับเงินสดทันที 2,500 บาท เมื่อไปแสดงตนขอใช้สิทธิลงคะแนน โดยจะได้รับบัตรลงคะแนนพร้อมกับเงินสด 2,500 บาท เป็นค่ารถ – ค่าเดินทาง – ค่าอาหาร – ค่าเสียเวลา ในการมาเลือกตั้งประธานและกรรมการสหกรณ์ฯ ในครั้งนี้ เรียกได้ว่าสมาชิกอยู่ที่ไหนแล้วยังมีแรงมาได้ด้วยตนเองก็จะได้เงินจำนวนดังกล่าว

ส่วนสมาชิกที่อาจป่วยติดบ้านติดเตียงแล้วเดินทางมาไม่ไหวก็จะมีกรรมการไปบริการถึงบ้าน ซึ่งก็จะได้รับค่าตอบแทน 1,300 บาท ซึ่งเงินเหล่านี้ก็ล้วนเป็นเป็นกำไรจากการบริหารจัดการสหกรณ์ การจ่ายในลักษณะนี้จะเป็นเหมือนกันเกือบแทบทุกแห่งมากน้อยไม่เท่ากันขึ้นอยู่ที่ผลการบริหารของแต่ละสหกรณ์ ทำให้มีมุมมองของหลายๆ คนคิดว่าถ้าการเลือกตั้ง อบต. – อบจ.- สส. ถ้ารัฐหรือองค์กรของรัฐจ่ายค่าเดือนทางให้ผู้ที่มาใช้สิทธิลงคะแนนแบบนี้ได้บ้างจะได้ไหม? และจะเป็นการช่วยให้ลดการซื้อสิทธิ-ขายเสียง ได้หรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานข้อมูลเพิ่มเติมว่าสำหรับการลงคะแนนเลือกประธานและกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูพิจิตรในครั้งนี้ผลจากการจ่ายค่าตอบแทนรายละ 2,500 บาท ส่งผลให้มีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนน 94 % ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูพิจิตร ได้แก่ นายวิศาล รอดกำเหนิด





