สทนช. ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำเขื่อนภูมิพล เตรียมตั้งรับพายุ “คัลแมกี”

สทนช. ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำเขื่อนภูมิพล เตรียมตั้งรับพายุ “คัลแมกี” ย้ำทุกหน่วยบริหารจัดการน้ำในเขื่อนอย่างรอบคอบ ต้องไม่กระทบประชาชนและกักตุนไว้ใช้ในหน้าแล้ง

เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 68 นายไพฑูรย์ เก่งการช่างรองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและการวางแผนการบริหารจัดการน้ำเขื่อนภูมิพล โดยมี ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัดตาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขื่อนภูมิพล กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จากนั้น คณะผู้ร่วมประชุมได้เดินทางไปติดตามสถานการณ์น้ำบริเวณโดยรอบเขื่อนภูมิพล

นายไพฑูรย์ เปิดเผยว่า จากการที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ “พายุคัลแมกี” ซึ่งจากอิทธิพลของพายุจะส่งผลให้ในช่วงวันที่ 7-9 พ.ย. 68 ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่โดยจะเริ่มจากบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ ในเรื่องนี้ สทนช. ได้ร่วมกับทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์ฝน สถานการณ์น้ำท่า และปริมาณน้ำในเขื่อนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในแนวพื้นที่รับฝนจากพายุคัลแมกี ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในเขื่อนเกือบ 100% จึงต้องมีการวางแผนพร่องระบายน้ำจากแต่ละเขื่อนอย่างรอบคอบรัดกุม

โดยจากการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พบว่า เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนอุบลรัตน์ สถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วงและสามารถรองรับปริมาณฝนที่จะตกมาเพิ่มได้ ในวันนี้ สทนช. จึงได้เดินทางมาเขื่อนภูมิพล เพื่อดูข้อมูลจริงจากในพื้นที่ในและได้ร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ วางแผนบริหารจัดการรองรับสถานการณ์พายุให้ดีที่สุด และส่งผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด

สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนภูมิพลวันนี้ (6 พ.ย.68 ณ เวลา 08.00 น.) มีปริมาณน้ำกักเก็บ 13,195.08 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 98.02% ของความจุเก็บกัก มีพื้นที่ว่างรองรับน้ำได้อีก 266.92 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 1.98% ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้รายงานข้อมูลพยากรณ์ฝน 7 วันล่วงหน้า คาดว่าจะมีปริมาณฝนในพื้นที่เขื่อน 80 มม. ทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนสะสม 301.92 ล้าน ลบ.ม.

หากปรับเพิ่มปริมาณการระบายน้ำแบบขั้นบันได เป็น 30.00 ล้าน ลบ.ม./วัน พบว่าในอีก 7 วันจะมีปริมาตรน้ำ 13,323 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 99% ของความจุเก็บกัก โดยที่ประชุมได้เห็นชอบให้ กฟผ. วางแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปในอัตรา 30.00 ล้าน ลบ.ม./วัน 40 และ 45 ล้าน ลบ.ม./วัน สูงสุดไม่เกิน 60 ล้าน ลบ.ม./วัน ปริมาณน้ำที่ระบายออกจากเขื่อนดังกล่าวจะส่งผลให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนฯ เพิ่มสูงขึ้นไม่เกิน 20 เซนติเมตร โดยมวลน้ำจากเขื่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำปิง ผ่านจังหวัดตาก จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดนครสวรรค์ จนถึงเขื่อนเจ้าพระยาใช้เวลาอีก 8-9 วัน ซึ่งจะไม่ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น

โดยขอให้ กฟผ. พิจารณาปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเขื่อนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อด้านท้ายน้ำเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้มีการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับพื้นที่และประชาชนล่วงหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ได้ทัน ซึ่งน้ำที่ระบายจากเขื่อนภูมิพลนี้ก็จะส่งต่อไปพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา

ซึ่ง ณ วันนี้ ที่สถานี C.2 จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,988 ลบ.ม./วินาที คาดการณ์ว่าช่วงวันที่ 6 – 14 พ.ย. ปริมาณน้ำที่จุดนี้จะอยู่ในช่วง 2,833 – 3,110 ลบ.ม.ต่อวินาที และมีปริมาณน้ำที่มาจากลุ่มน้ำสะแกกรัง (side flow) ไหลเข้าเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา
336 ลบ.ม.ต่อวินาที จึงได้วางแผนระบายน้ำท้ายเขื่อนที่เจ้าพระยาให้คงอยู่ในอัตรา 2,700 ลบ.ม./วินาที และวางแผนผันไปฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้สมดุลกันเพื่อเร่งระบายออกสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด

“ปี 2568 นี้ มีปริมาณฝนที่ตกสะสมค่อนข้างสูงอย่างเห็นได้ชัด พบว่า ณ วันที่ 3 พ.ย.68 มีปริมาณฝนสะสม 1,600 มม. มากกว่าค่าปกติ 8% ขณะที่ปี 2567 ปริมาณฝนสะสม 1,705 มม. มากกว่าค่าปกติ 5% สำหรับในปีที่มีฝนตกปริมาณสูงเป็นพิเศษ เช่น ปี 2565 พบว่าปริมาณฝนสะสม 2,012 มม. มากกว่าค่าปกติ 24% และปี 2554 มีปริมาณฝนสะสม 1974.9 มม. มากกว่าค่าปกติ 20% จากสถานการณ์ฝนที่ได้คาดการณ์และเกิดขึ้นจริง ทุกหน่วยงานจะต้องวางแผนร่วมกันเพื่อกักเก็บน้ำในเขื่อนแต่ละแห่งให้ได้เกือบเต็มความจุเก็บกักซึ่งได้ดำเนินการล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี 2568 เพื่อให้มีน้ำในเขื่อนมากที่สุดเพื่อใช้เป็นน้ำต้นทุนสำหรับใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูแล้ง ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน ตามปฏิทินการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม อย่างไรก็ตาม สทนช. และทุกหน่วยงานก็ยังคงต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ ที่จะได้รับอิทธิพลจากพายุในช่วงถัดจากนี้ไปอย่างเข้มข้น โดยต้องวางแผนจัดการจราจรน้ำในแต่ละพื้นที่แบบเป็นกลุ่มลุ่มน้ำเพื่อให้สอดคล้องสัมพันธ์และช่วยบรรเทาผลกระทบในแต่ละพื้นที่ให้ได้มากที่สุด” รองเลขาธิการ สทนช. กล่าว..

ข่าวที่น่าสนใจ

วิทยา ปัญญาศรี ผู้สื่อข่าว TopNewsทั่วไทย จ.ตาก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"ดร.สามารถ" ย้ำภัยดิจิทัลรุนแรง เตือนระวังตกเป็นเหยื่อสแกมเมอร์ แนะรัฐตั้งศูนย์บัญชาการ NASC จัดการจบในจุดเดียว
"บิ๊กเล็ก" แจงปล่อยเชลยศึก 12 พ.ย. เป็นแค่คาดการณ์ ต้องยึดหลักเขมร ทำตามเงื่อนไขครบหรือไม่ ยันไม่มีเปิดด่านจนกว่าเรื่องจบทุกอย่าง
"กรมชลฯ" เตือน 11 จังหวัดลุ่มเจ้าพระยา เฝ้าระวังน้ำล้นตลิ่ง หลังเพิ่มระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยามากกว่า 2,700 ลบ.ม./วินาที
“พล.ท.นันทเดช” แนะทำ 3 ข้อ ก่อนถึงวันปล่อยตัว "18 เชลยศึก" เตือนเขมรไว้ใจได้ยาก ต้องคิดทำรอบคอบ ไม่ให้ไทยเสียเปรียบ
ชายวัย 56 คลุ้มคลั่ง ขับรถพุ่งชนกำแพงบ้าน อ.บ้านหลวง – ไร้เจ็บ
สทนช. ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำเขื่อนภูมิพล เตรียมตั้งรับพายุ “คัลแมกี”

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​