การเลือกตั้ง สส.ในปี 2569 ที่รัฐบาลวางไทมไลน์ โดยจะให้มีจัดการเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไปพร้อมจัดการออกเสียงประชามติประเด็น “รัฐธรรมนูญ”โดยมี “คำถามพ่วงท้าย” และ จัดทำประชามติ“ยกเลิก MOU 43/44”
ตนจะชำแหละ เพื่อให้เห็นว่า บัตรเลือกตั้งในที่ 3 และใบที่ 4 เป็นเพียงสับขาหลอกประชาชน เพื่อสร้างคะแนนนิยมเพื่อความได้เปรียบพรรคการเมืองอื่น ดังนี้
การเลือกตั้งโดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พี่น้องประชาชน อาจคุ้นชินและทำความเข้าใจบัตรแต่ละสีและเข้าคูหา กาได้ถูกต้อง แต่พี่น้องประชาชนหลายคนยังสับสน แทนที่จะกาบัตร แต่กลับฉีกทำลายบัตรแทน โดยเฉพาะผู้สูงอายุในชนบท ขาดความเข้าใจ ในการกาและหย่อนบัตร ทำให้เป็นบัตรเสียและถูกดำเนินคดีอาญา
พูดภาษาชาวบ้าน บัตร 2 ใบ พี่น้องประชาชนยังขาดความเข้าใจ แล้วเพิ่มเติมบัตร อีก 2 ใบ รวมเป็น 4 ใบ แล้วจะเข้าให้พี่น้องประชาชนเข้าใจในความหมายและสาระสำคัญหลัก ได้อย่างไร
บัตรใบที่ 3 ในการจัดทำประชามติ ให้สอบถามประชาชนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ โดยมีคำถามพ่วงท้าย ที่ว่า “มีวิธีการและเนื้อหาสำคัญอย่างไร” เหมือนกันรัฐธรรมนูญ 2560 ในประเด็น อำนาจ สว.โหวต เลือกนายกรัฐมนตรี
บัตรที่ใบที่ 4 ในการจัดทำประชามติให้สอบถามประชาชนว่า สมควรที่ยกเลิก MOU 43/44 หรือไม่
หากพิจารณาถึงบัตรใบที่ 3 โดยมี “คำถามพ่วงท้าย” แสดงว่า ในการจัดการเลือกตั้ง สส.ครั้งหน้า ประชาชนได้กาบัตรในคราวเดียวกัน ถึง 5 ครั้ง ในรอบเดียว โดยเฉพาะบัตรใบที่ 3 ได้กา 2 ครั้ง ในคำถามพ่วงท้ายด้วย
แต่สารตั้งต้นในการออกเสียงประชามติของประชาชน รอบแรกในการสถาปนาอำนาจรัฐธรรมนูญ โดยมีคำถามพ่วงท้าย เป็นการผลักดันให้เกิดนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตรงนี้ พรรคประชาชน ได้ประโยชน์ในคะแนนนิยม รวมถึงพรรคเพื่อไทย ฝ่ายค้าน ได้ผลประโยชน์ในทางอ้อม
ส่วนบัตร ใบที่ 4 สมควรที่จะยกเลิก ข้อสัญญา MOU 43/44 หรือไม่ ตรงนี้ พรรคภูมิใจไทย ได้ประโยชน์ เพราะชูนโยบายความมั่นคง
หากพิจารณาแง่ MOU 43 เป็นเรื่องเขตแดนไทยกัมพูชา 800 กม.ประกอบด้วย 9 เรื่อง เกิดขึ้นในรัฐบาลชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วน MOU 44 เป็นเรื่อง เฉพาะอาณาเขตทางทะเล เขตเศรษฐกิจจำเพาะ และเขตไล่ทวีป เพราะกัมพูชาสร้างหมุดที่ 74 ตามอำเภอใจและไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นในสมัยฝรั่งเศสปกครองประเทศกัมพูชา โดยใช้วิธีการลกเส้นตามอำเภอใจทำให้รุกเขตดินแดนราชอาณาจักรไทยบริเวณเกาะกูด ประมาณ 10 ไมล์ทะเล เกิดขึ้นในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สมัยพรรคไทยรักไทย
สัญญาอื่นที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ได้แก่ การทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน ต้องได้รับความเห็นชอบต่อรัฐสภา ตาม รธน.มาตรา 178 วรรคสองประกอบวรรคสาม
พูดภาษาชาวบ้าน ข้อสัญญา MOU 43/44 ประชาชนมีความรู้และความเข้าใจในระดับน้อยมาก ขนาด นักการเมือง นักวิชาการ ผู้ร้องทั้งหลาย ยังอธิบายให้แก่ประชาชนยังสับสนแล้ว ประชาชนจะเข้าใจถึงผลกระทบได้อย่างไร มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจในการกาบัตรใบที่ 4
แม้ รธน.ในมาตรา 178 วรรคสี่ ให้มีกฎหมายกำหนดให้วิธีการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นหรือผลกระทบต่อการทำสัญญาดังกล่าวก็ตาม หรือที่เรียกว่า ออกเสียงประชามติก็ตาม
หลายฝ่ายถกเถียงกัน รู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้าง ว่า MOU 43 /44 มีผลผูกพันรัฐหรือไม่ เพียงใด แต่ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจในเนื้อหาเพราข้อตกลงทวิภาคีได้เกิดมานานแล้ว เพราะขณะนั้นไทยใช้รัฐธรรมนูญ 2540 แม้ไม่ได้ผ่านรัฐสภา ย่อมมีผลผูกพันโดยปริยาย เห็นได้จาก อาการร้อนตัวของ รมว.ต่างประเทศกัมพูชาว่า ยกเลิกฝ่ายเดียวไม่ได้ โดยรัฐบาลอนุทินฯ เด้งรับ จัดทำประชามติเพื่อยกเลิก ข้อสัญญาหรือข้อตกลง MOU 43/44
แต่ในแง่มิติการเมือง การเมือง 3 ก๊ก สีแดง สีส้มและสีน้ำเงิน ต่างช่วงชิงอำนาจทาการเมือง โดยผ่านนัยยะทางการเมือง “บัตรใบที่ 3 “และ “บัตรใบที่ 4 “ เป็นเพียงเทคนิคแก้เกม ชิงความได้เปรียบทางการเมืองสามก๊ก เพื่อกลับให้มีอำนาจในรัฐบาลสมัยหน้า