ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนและกลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) พร้อมด้วย นายสมบูรณ์ เลิศสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด ร่วมเวทีเสวนา “Decarbonization for Smart Industry: ปรับธุรกิจ ลดคาร์บอน สู่อนาคตที่ยั่งยืน” ภายใต้ธีม 3S: Smart, Safe, Sustainable – Technologies towards Tomorrow จัดโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย–ญี่ปุ่น) และสมาคมวิศวกรรมเคมีและเคมีประยุกต์แห่งประเทศไทย
งานนี้มีผู้ร่วมเสวนาอีกหลายท่าน ได้แก่ นายฉัตรภพ พรธรรม ผู้จัดการฝ่ายความยั่งยืน บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด และ ดร.นเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย–ญี่ปุ่น) ภายในงานยังมีการจัดแสดง เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ชาญฉลาด ปลอดภัย และยั่งยืน เพื่อสู่วันพรุ่งนี้ ซึ่งองค์กรของวิทยากรทั้ง 3 ท่านเคยได้รับรางวัล Thailand–Japan Decarbonization Awards 2025 (TJDA) รางวัลเชิดชูองค์กรที่มีนวัตกรรมในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย–ญี่ปุ่น) หรือ ส.ส.ท. ร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับจากรางวัลจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม บจก.เหล็กสยามยามาโตะ ได้รับรางวัลจากกระทรวงอุตสาหกรรม และบจก. อัลเตอร์วิมได้รับรางวัลจากกระทรวงพลังงาน
ดร.ธีระพลกล่าวว่า เครือ CP ตั้งเป้า Net Zero ตั้งแต่ปี 2020 และนำ 5 Transformation ขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ Transparency, Market Mechanism, Leadership & Talents, Empowerment และ Innovation & Technology เพื่อเร่งลดคาร์บอนในทุกห่วงโซ่อุปทาน
เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI, Sensor, Big Data, Traceability, Cloud, IoT, 5G, Cybersecurity, Robotics & Automation ถูกนำมาใช้ในธุรกิจเกษตร ต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซ และยกระดับความปลอดภัยของอุตสาหกรรม ทั้งยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาในโรงงานอัจฉริยะ
ดร.ธีระพล สรุปวิสัยทัศน์อุตสาหกรรมอัจฉริยะยั่งยืนในอีก 10 ปี ว่าเป็นการผสาน ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธุรกิจ และนวัตกรรม พร้อมเน้นว่าองค์กรควรเริ่ม จากการวัดผลและตั้งเป้าหมายวันนี้ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
ด้านนายสมบูรณ์ เลิศสุวรรณโรจน์ CEO บริษัท อัลเตอร์วิม ระบุว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมใหม่ให้ความสำคัญกับ Decarbonization โดยเฉพาะ Scope 2 เช่น ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ที่สามารถใช้ พลังงานสีเขียวอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นวิวัฒนาการสำคัญเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องการบริหารทรัพยากรและกระบวนการผลิต ประเทศไทยมีความได้เปรียบ
นอกจากนี้ เมื่อพลังงานสีเขียวพร้อมใช้งาน ผู้ประกอบการจะได้รับประโยชน์ทั้งด้าน Decarbonization และการลงทุน โจทย์สำคัญคือการสร้าง ปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนพลังงานสีเขียว เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมให้มีความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นอุตสาหกรรมไทยต้องเปลี่ยนจากพลังงานดั้งเดิมไปสู่ พลังงานสะอาด โดยการใช้พลังงานยั่งยืนช่วยให้ธุรกิจมีความปลอดภัย ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง และสามารถปรับตัวสู่โลกยุคหน้าได้อย่างมั่นคง