“วัส ติงสมิตร” วิเคราะห์คำชี้แจงของ “นายกฯอิ๊งค์” ปมคลิปเสียง ต่อศาลรัฐธรรมนูญ

“วัส ติงสมิตร” วิเคราะห์คำชี้แจงของ “นายกฯอิ๊งค์” ปมคลิปเสียง ต่อศาลรัฐธรรมนูญ

วันที่ 16 ส.ค. นายวัส ติงสมิตร อดีตนักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา โพสต์เฟชบุ๊ก ว่า ละครคลิปเสียง แพทองธาร – ฮุนเซน ใกล้ถึงฉากสุดท้าย

หลังจากสื่อมวลชนเผยแพร่คำชี้แจงของแพทองธารต่อศาลรัฐธรรมนูญ ต่อมามีการเผยแพร่เนื้อหาในคำชี้แจงเป็นตอนๆ ต่อจนจบ ผู้เขียนจึงมีความเห็นต่อประเด็นในคำชี้แจงดังกล่าวตามลำดับ ดังนี้

 

ข่าวที่น่าสนใจ

1)แพทองธารอ้างว่า ที่ตนพูดว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” มีเจตนาเพียงต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ตนไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด เพราะจะต้องนำเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ นั้น

ผู้เขียนเห็นว่า ถ้อยคำที่ว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่าน (uncle) บอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” เป็นถ้อยคำที่ส่อแสดงให้เห็นเป็นนัยว่า ขอเพียงให้คุณอาบอกความต้องการมา ตนจะดำเนินการให้ในเวลาไม่ช้า แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าตนมีอำนาจที่จะสนองความต้องการให้ได้ หาใช่การเจรจาบนหลักการ Principled Negotiation และ Interest-Based Negotiation อันเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาที่เน้นความร่วมมือและผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (win-win outcome) ดังที่แพทองธารกล่าวอ้างในคำชี้แจงไม่

2) ที่แพทองธารกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” เกิดจากฮุนเซนไม่พอใจแม่ทัพภาคที่ 2 ตนจึงต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบ หรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากเป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม นั้น

ผู้เขียนเห็นว่า ถ้อยคำที่แพรทองธารกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า แพทองธารและฮุนเซนเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม หาใช่การแยกคนออกจากปัญหา (Separate the people from the problem) อันเป็นหลักการข้อหนึ่งในสี่ข้อของแนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาที่เน้นความร่วมมือและผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (Principled Negotiation และ Interest-Based Negotiation) ดังที่แพทองธารกล่าวอ้างในคำชี้แจงไม่

3) ที่แพทองธารอ้างว่า ฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของประเทศตน หรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ นั้น

 

 

ผู้เขียนเห็นว่า ฮุนเซนเคยเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชามาหลายสิบปี แม้ปัจจุบัน ฮุนเซน จะปรากฏสถานะโดยเปิดเผยเป็นเพียงประธานวุฒิสภากัมพูชา แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏว่า ฮุนเซน มีอำนาจสูงสุดในประเทศ มิฉะนั้น แพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรีไทยคงไม่ต้องเสียเวลาหารือกับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงียมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) เพื่อรอเจรจากับฮุนเซนเป็นเวลาหลายชั่วโมง ข้ออ้างของแพทองธารในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เขมรไม่เลิกตุกติก "ประชุม RBC" ทหารไทย-กัมพูชา ได้ข้อสรุป 13 ด้าน แต่ไม่ตกลงร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด-ปราบสแกรมเมอร์
อ่านน้ำตาซึม "ส.อ.ธนศักดื์" อัพเดทอาการบาดเจ็บ เปรยป่วยนานไม่ได้ ต้องรีบไปช่วยเพื่อน พี่น้อง ร่วมรบ
ปกครองจังหวัด สนธิกำลัง ปกครองบางละมุง ตร.พัทยา ตรวจร้านเหล้าพัทยา ป้องปรามสิ่งผิดกฎหมาย
"คณะทูต 33 ประเทศ" ลงพื้นที่อุบลฯ-ศรีสะเกษ แล้ว พร้อมพิสูจน์ความจริงทหารเขมร ลอบวางทุ่นระเบิด ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา
พัทยา ปกครอง ตำรวจ ตั้งด่านสแกน หาผู้ค้า ผู้เสพ
"สรวงศ์" เผย "นายกฯอิ๊งค์" ยืนยันกับสมาชิกพรรค ไม่ลาออก พร้อมไปศาลเอง กำลังใจยังดีอยู่

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​