AFP และ CNN รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐได้โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันพุธที่ 6 สิงหาคมต่อเช้าพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคมตามเวลาท้องถิ่นว่า “กำลังจะถึงเที่ยงคืนแล้ว เงินจากภาษีศุลกากรหลายพันล้านดอลล่าร์กำลังไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกา”
กำแพงภาษีทรัมป์ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่นโยบายการค้าสหรัฐหลังทรัมป์ประกาศใช้มาตรการกำแพงภาษีตอบโต้หลายสิบประเทศทั่วโลกเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมทั้งไทยที่โดนไป 36% แต่มีการเลื่อนกำหนดการบังคับใช้เพื่อเจรจาต่อรอง จนในที่สุดก็เริ่มบังคับใช้จริง โดยอัตราภาษีส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 10-41% ซึ่งไทยมีต่อรองจนเหลือ 19% เท่ากับหลายประเทศอาเซียน รวมทั้งมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชาและอินโดนีเซีย
ทำเนียบขาวกล่าวว่าการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ได้เปลี่ยนมาเริ่มในวันนี้ เร็วกว่าที่ทรัมป์ประกาศไว้ 1 วันตามกำหนดเดิมวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่ากำแพงภาษีทรัมป์เป็นเพียงการแสดงอำนาจทางเศรษฐกิจ และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของทรัมป์
โดยแคนาดา หนึ่งในพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐถูกปรับเพิ่มจาก 25% ไปเป็น 35% หลังถูกกล่าวหาว่าล้มเหลวในการสกัดเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐ ทั้งๆที่แคนาดาไม่ได้เป็นแหล่งที่มาสำคัญของเฟนทานิล แต่ขณะเดียวกันกลับเลื่อนเส้นตายให้เม็กซิโกออกไปอีก 90 วัน
ขณะที่บราซิลโดนทรัมป์สั่งเก็บ 50% เพราะต้องการกดดันให้ยุติการดำเนินคดีอดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร่ พันธมิตรของทรัมป์ อินเดียก็โดน 50% เพราะไม่ยอมยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
ในส่วนของกลุ่มประเทศอาเซียนก็ถูกสั่งเก็บภาษีเพิ่มอีก 40% สำหรับสินค้าส่งผ่านหรือสินค้าสวมสิทธิ์ ขณะที่ลาวและเมียนมาโดนหนักกว่าอาเซียนชาติอื่นที่อัตรา 40% ล่าสุดทรัมป์เพิ่งขู่จะฟันสินค้าเซมิคอนดัคเตอร์และชิปคอมพิวเตอร์ 100% สำหรับบริษัทที่มีฐานการผลิตอยู่นอกสหรัฐ หวังกดดันจีนที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งเวนดี้ คัตเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันนโยบายสังคมเอเชียกล่าวว่ามาตรการต่างๆตั้งแต่การใช้คำสั่งประธานาธิบดีเรื่อยไปจนถึงข้อตกลงที่ทำขึ้นล้วนเป็นการฉีกกฎเกณฑ์ระบบการค้าโลกที่ก่อตั้งขึ้นหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่ทรัมป์ออกมาประกาศว่าจะพิจารณาใช้เงินจากกำแพงภาษีเหล่านี้เป็น “เงินปันผล” แจกจ่ายให้กับชาวอเมริกัน
