“กมธ.แรงงาน” เผยเชิญทูตกัมพูชา-ตม. เข้าเเจง ชี้ยังมีแรงงานกัมพูชาในไทยกว่า 2 ล้านคน

"กมธ.แรงงาน" เผยเชิญทูตกัมพูชา-ตม. เข้าเเจง ชี้ยังมีแรงงานกัมพูชาในไทยกว่า 2 ล้านคน

วันที่ 7 ส.ค. ที่รัฐสภา นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลกระทบจากการเรียกแรงงานกัมพูชากลับประเทศ จากผลกระทบ เหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า กรรมาธิการได้เชิญตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาสอบถามสถานการณ์ตามแนวชายแดน ในพื้นที่ 7 จังหวัด รวมถึงทราบรายงานจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ภายหลังทางกัมพูชาประกาศว่าแรงงานเดินทางกลับประเทศจำนวนนับแสนคน จากรายงานทราบว่ามีแรงงานที่เข้ามาในประเทศไทยชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 543,000 คน ความเป็นจริงแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศวันละ 30,000 – 40,000 คน และยอดที่เข้ามายังคงเหลืออยู่ร่วมๆ 1,500,000 คน จึงเป็นตัวเลขที่ประมาณการได้ว่าแรงงานชาวกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทยมีจำนวน 2,000,000 กว่าคน

 

 

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตของประเทศกัมพูชาก็ได้เข้ามาให้ข้อมูลกับทางกรรมาธิการ ขณะที่กระทรวงแรงงาน มียุทธศาสตร์ในการตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจ 7 จังหวัดชายแดน ซึ่งมีมาตรการในการดูแลแรงงานชาวกัมพูชา โดยจะมีการอัตลักษณ์แรงงานทั้งหมด ขณะที่ผู้ว่าราชการ 7 จังหวัดชายแดน ก็ได้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยหลังจากนี้ทางกรรมาธิการก็จะเชิญแม่ทัพภาคที่หนึ่งและสองอีกครั้ง แต่เบื้องต้นทราบว่าการบูรณาการครั้งนี้ ยังมีความล่าช้า ทั้งตัวเลขและการบริหารในรูปแบบ การทำงานร่วมกันโดยมีประสิทธิภาพ

ดังนั้นแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาใหม่หรือกลับประเทศ จะต้องมีการบันทึกข้อมูลอัตลักษณ์ของแรงงานชาวกัมพูชา แม้กระทั่งโทรศัพท์และการลงทะเบียนซิมของชาวกัมพูชา ที่เข้ามาตามฤดูกาล ก็จะต้องสามารถตรวจสอบได้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อความมั่นคง

 

ในขณะเดียวกันก็ทราบว่า แรงงานชาวกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทย ก็ไม่มีความประสงค์ที่จะเดินทางกลับประเทศตัวเอง แต่ด้วยมาตรการของทางกัมพูชาที่ออกมาเชิงบังคับ ซึ่งข่าวที่ออกมาตนก็ไม่แน่ใจว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวเท็จที่ว่า หากไม่เดินทางกลับไปยังประเทศกัมพูชา จะยึดทรัพย์สินรวมถึงที่ดินและสัญชาติ และขอยืนยันว่าฝ่ายไทยไม่มีการใช้กำลังกับแรงงานชาวกัมพูชาแต่อย่างใด

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ขณะเดียวกัน กรรมาธิการแรงงานจะลงพื้นที่ไปดูการใช้แรงงานชาวกัมพูชา เพื่อติดตามสถานการณ์ และยังเห็นว่าการสู้รบ ในเชิงเอาแรงงานมากดดัน หรือมาสู้รบเชิงเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะถือว่าเป็นการขัดแย้งระหว่างผู้นำประเทศทั้งสองฝ่าย การจะเอาภาคประชาชนมาอยู่ในสนามรบ ก็จะเกิดความลำบากทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งประเทศที่ 3 ก็กำลังดูทิศทางอยู่ โดยจะกำหนดทิศทางว่าจะให้ไทยเลือกข้ามประเทศใด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตราย ดังนั้นการที่ประเทศไทยดำเนินการทางด้านยุทธศาสตร์ ผลกระทบจากการสู้รบครั้งนี้ โดยมีประเทศอื่นบังคับให้ไทยเลือกตั้งก็ถือว่าเป็นการแพ้ ซึ่งความจริงแล้วไทยจะต้องเป็นกลาง ระหว่างประเทศมหาอำนาจ

 

เมื่อถามว่า 3 เดือนข้างหน้า จะไม่เข้าสู่วิกฤตแรงงานหรือไม่ นายสฤษฏ์พงษ์ มองว่า วิกฤตเรื่องนี้เป็นวิกฤติระยะสั้น ส่วนตัวคิดว่าแก้ไขปัญหาได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

โมดีลั่นไม่แลกผลประโยชน์เกษตรกรอินเดียกับภาษีทรัมป์
"เสธ.หิมาลัย" ซัดแรงถาม "มาลี-บิ๊กทหารกัมพูชา" ไม่อายหรือเชิดหน้าชูตาแถลงข่าวโกหก อยู่บนซากศพของพวกเดียวกัน
นักวิชาการ ย้ำสารเร่งเนื้อแดงอันตราย ผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มีโอกาสหัวใจวาย
สมุทรปราการ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการกองพิธีการศพ
"หลวงพ่ออลงกต" ขีดเส้นตาย 7 วัน ให้ "หมอบี" ชี้แจงสังคม ปมถูกกล่าวหายักยอกเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ ยันยังไม่ดำเนินคดี
“เอกนัฏ” เชือดบริษัทนำเข้าสินค้าสวม มอก. ปลั๊กไฟกว่า 6 แสนชิ้น ชง “DSI” รับเป็นคดีพิเศษ

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​