เมื่อถามว่า เป็นผลมาจากคลิปหลุดนายกฯ คุย สมเด็จฮุนเซน หรือไม่ นายสุวิชา กล่าวว่า เป็นอย่างนั้นเรียกว่าคลิปเสียงหลุดคลิปเดียวเรียกว่าจบเลย ที่ผ่านมาตนวางแผนเก็บข้อมูลวันที่ 19 มิถุนายน เกี่ยวกับคะแนนความนิยมทางการเมืองในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 บังเอิญคลิปเสียงหลุดถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน และตนได้เริ่มเก็บข้อมูลวันถัดมา คือวันที่ 19 มิถุนายน ปรากฏว่าคะแนนนิยมของนายกฯ ลดดิ่งเหวลงมาอย่างรวดเร็ว ยังดีที่ยังค้างไว้ที่ 9 % ไม่ใช่ 1 % ตามที่หลายคนคาดการณ์ไว้ รวมถึงคะแนนของพรรคเพื่อไทยที่ดิ่งลงมาจาก 28 % เหลือ 11 % และหากถามว่าคะแนนจะดิ่งลงอีกหรือไม่ จากที่ตนทราบข่าวมานั้น สมเด็จฮุนเซน ยังไม่ยอมจบเรื่องการแฉตระกูลชินวัตร ทั้งนั้นคงไม่มีใครทราบว่า จะมีการแฉมากขึ้น และปัจจัยดังกล่าวอาจจะทำให้คะแนนนิยมทั้งนายกฯ และพรรคเพื่อไทยดิ่งลงไปอีกก็เป็นได้ แม้ว่าคนไทยอาจจะไม่ชอบสมเด็จฮุนเซน แต่ทุกคนก็ตั้งหน้ารอฟังว่าจะแฉอะไรอีก

ส่วนกระแสที่หลายคนมองว่ากลุ่มตัวอย่างที่นิดาโพล ไปสำรวจอาจจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของพรรคเพื่อไทย หรือนายกฯ แพทองธาร หรือไม่ นายสุวิชา กล่าวว่า เราสำรวจกระจายทั่วประเทศ เราเอาตามสัดส่วนทางสถิติ และไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เช่น ภาคอีสานจะเห็นภาพชัดเจนว่า คะแนนลดลงหมดเลยทั้งพรรคและนายกฯ เอง ซึ่งคะแนนนิยมจากพรรคเพื่อไทย จากคะแนนนิยมที่ 45 เหลือเพียงแค่ 15 % ส่วนนายกฯแพทองธาร จากคะแนนความนิยมที่ 44 เหลือ 11 % ขณะเดียวกันประชาชนอยากให้นายกฯ ลาออก และยุบสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกภาค พูดง่ายๆว่า คะแนนดิ่งเหวมาก ส่วนคะแนนความนิยมของประชาชนในภาคใต้ ที่มีต่อพรรคเพื่อไทยนั้นหมดไปนานแล้ว

เมื่อถามว่า คะแนนความนิยมของภาคเหนือและภาคอีสาน ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สามารถสะท้อนอะไรได้บ้าง นายสุวิชา กล่าวว่า หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ประกอบกับคะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทย ที่ลดลงหนักขนาดนี้ การที่พรรคจะมีโอกาสได้สส.หลักร้อยเหมือนเดิมนั้น ต้องใช้วิธีเดียว คือต้องมีทรัพยากรทางการเมืองอย่างเต็มที่ ต้องมีทุกอย่างเต็มที่ เพื่อดึงกลุ่มบ้านใหญ่มาอยู่ให้ได้ ประการที่สองคือหากต้องการ ได้รับคะแนนความนิยมทางการเมือง กลับมาช่วงก่อนเลือกตั้ง คือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะต้องเอาชนะ สมเด็จ ฮุนเซน ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม และต้องชนะอย่างรวดเร็ว เพราะประชาชนเริ่มเบื่อสถานการณ์นี้แล้ว

สำหรับประเด็นชื่อบุคคลที่ประชาชน จะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ คนต่อไป โดยการเลือกในแคนดิเดตบัญชีรายชื่อที่มีอยู่ เช่น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่คะแนนเป็นอันดับหนึ่งซึ่งมากถึง 32.82 % และทิ้งห่างรายชื่ออื่นค่อนข้างมาก เรื่องนี้สะท้อนอะไรบ้าง นายสุวิชา กล่าวว่า คะแนนความนิยมของ พลเอก ประยุทธ์ ถือว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มาก โดยเฉพาะคนที่ทำโพลเช่นตน เพราะไม่คิดว่าชื่อของพลเอก ประยุทธิ์จะกลับมาอีกครั้ง ตนตกใจมาก และมีสื่อมวลชนหลายคนได้ไปวิเคราะห์ว่า มีกระบวนการนำ พลเอก ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน และที่สำคัญตนทำโพลด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดว่าจะมีชื่อท่านด้วยซ้ำไป

นายสุวิชา กล่าวอีกว่า หากย้อนกลับไปดูความนิยมของ พลเอก ประยุทธ์ ว่าใครที่เลือกท่านบ้าง พบว่ามาจากประชาชนที่เลือกพรรครวมไทยสร้างชาติ และอีก 30 % คือประชาชนที่ไม่เลือกพรรคการเมืองไหนเลย ที่สำคัญคะแนนมาจากคนที่เลือกพรรคประชาชนคิดเป็น 11-12 % และเหตุผลที่คนกลุ่มนี้คาดว่าจะเลือก พลเอก ประยุทธ์ กลับมาเนื่องจากเขาอาจจะไม่ใช่ กลุ่มแฟนคลับตัวยงของพรรคประชาชน แต่เขาเป็นกลุ่มคนที่เลือกพรรคประชาชนที่ได้รับความนิยมมากในขณะนั้น แต่ปัจจุบันต้องการเลือกพลเอกประยุทธ์ กลับมาเพื่อความสงบของบ้านเมือง และความขัดแย้งไทยกัมพูชา ที่อยากให้จบเร็ววัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อสำรวจว่า อยากให้ใครเป็นนายกฯ ชื่อของพลเอกประยุทธ์ จึงกลับมาอีกครั้ง

นายสุวิชา ให้ข้อมูลอีกว่า หากย้อนดูจากคนที่อายุน้อยระหว่าง 18-25 ปี ที่เป็นคนรุ่นใหม่คิดเป็นร้อยละ 27 % เลือก พลเอก ประยุทธ์ และกลุ่มอายุระหว่าง 26-35 คิดเป็นร้อยละ 28 % เลือก พลเอกประยุทธ์ พูดง่าย ๆ ว่า เสียงคนรุ่นใหม่หากเดินมา 4 คน เลือกลุงตู่ เป็นนายกฯ 1 คน ในช่วงนี้ ผมเชื่อว่า พลเอก ประยุทธ์ สามารถเป็นนายกฯ ชั่วคราว หรือเข้ามาเป็นนายกฯ เปลี่ยนผ่าน ที่ช่วยแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา เพื่อจัดระเบียบการเมือง แล้วรีบยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ภายในระยะเวลา 6-8 เดือน