อย่างไรก็ตาม แม้นโยบายจะดูเป็น “ของขวัญเพื่อประชาชน” แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด กลับมีข้อกังวลหลายประการที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น
1. งบประมาณที่จัดสรรยังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ในปีแรกของการดำเนินนโยบาย รัฐบาลตั้งงบประมาณไว้ 5,668 ล้านบาท (ก่อนหน้านี้รัฐบาลเคยบอกว่าจะต้องใช้เงินชดเชยประมาณ 8,000 ล้านบาท/ปี) โดยแบ่งเป็นค่าชดเชยค่าโดยสารให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย รฟท., รฟม., กทม. รวม 5,512 ล้านบาท และค่าพัฒนาระบบบริหารจัดการรายได้กลาง 156 ล้านบาท
แต่ข้อมูลจาก กทม.ระบุว่า เฉพาะในส่วนของ กทม.เพียงหน่วยงานเดียว จำเป็นต้องใช้เงินชดเชยถึง 11,059 ล้านบาท เท่ากับว่างบที่ได้รับจริง (2,525 ล้านบาท) นั้น ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของความต้องการ
2. เจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทานยังไม่ชัดเจน
รถไฟฟ้าหลายสายดำเนินการภายใต้สัมปทานให้เอกชน ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสว่า ภาครัฐได้ตกลงค่าชดเชยรายได้กับเอกชนได้ผลเป็นที่ยุติหรือไม่ แต่ผมรู้มาว่า ยังไม่ได้ข้อยุติ
3. ความยั่งยืนในระยะยาวยังไม่แน่นอน
นโยบายนี้ครอบคลุมเพียง 1 ปีเท่านั้น โดยไม่มีแผนรองรับหลังจากวันที่ 30 กันยายน 2569 หากไม่มีการจัดทำแผนการเงินที่ยั่งยืน นโยบายนี้จะกลายเป็นเพียง “มาตรการชั่วคราว” ที่อาจยุติลงทันทีเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ
ยิ่งไปกว่านั้น หากรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะ “ซื้อสัมปทานคืน” ทั้งหมดจากเอกชน ตัวเลขการลงทุนอาจสูงถึงกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งต้องการการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ
4. ประชาชนทุกกลุ่มอาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าเทียมกัน
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า “ทุกคน” สามารถรับสิทธิ์ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้ แต่เงื่อนไขการใช้งานจริงระบุว่า ผู้ใช้ต้องมีการลงทะเบียนผ่านระบบแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” หรือใช้บัตร EMV (Europay, Mastercard และ Visa) หรือ Rabbit Card เท่านั้น
กลุ่มประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์ดิจิทัล เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้มีรายได้น้อย อาจไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ์นี้ได้โดยสะดวก
5. แหล่งรายได้ชดเชยระยะยาวยังไม่ชัดเจน
มีการเสนอแนวคิด “ค่าธรรมเนียมรถติด” หรือ Congestion Charge เพื่อเป็นรายได้เพิ่มเติมสำหรับชดเชยค่าโดยสารในอนาคต แต่แนวคิดนี้ยังคงอยู่ในระดับ “การศึกษา” และยังไม่มีความคืบหน้าในเชิงนโยบายหรือข้อกฎหมาย
6. ผู้ให้บริการเตรียมหารถไฟฟ้าเพิ่มไว้หรือยัง?
เมื่อค่าโดยสารถูกลง จะมีผู้โดยสารรถไฟฟ้ามากขึ้นแน่นอน แต่คำถามคือ…ผู้ให้บริการเตรียมรถไฟฟ้าเพิ่มไว้หรือยัง? ถ้าไม่ทันรับมือ แบบนี้คนได้ประโยชน์จะเป็นใครกันแน่?