รอยเตอร์ส, CNN, และ AP รายงานว่าเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ของทรัมป์ลงจอดที่สนามบินกรุงริยาดแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (อังคารที่ 13 พค.) โดยเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซาลมาน มกุฏราชกุมารซาอุดิอาระเบียเสด็จมาต้อนรับถึงเครื่อง ซึ่งทันทีที่ประตูเครื่องเปิด และมองเห็นเจ้าชาย ทรัมป์ถึงกับชูกำปั้นขึ้นฟ้าด้วยความพอใจก่อนเดินลงบันไดมาจับมือ
ทริปเยือน 3 ประเทศอ่าวเปอร์เซอร์เป็นเวลา 4 วันถึอเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งที่สองของทรัมป์นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐสมัยที่สอง โดยทริปแรกคือการเข้าร่วมพิธีปลงพระศพสมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสที่กรุงโรม อิตาลี
แหล่งข่าวสหรัฐเผยว่าเป้าหมายหลักของทริปครั้งนี้คือการเจรจาธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องประเด็นเรื่องความมั่นคงในภูมิภาค อย่างสงครามกาซาหรือโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งจะเห็นได้จากกิจกรรมที่ทรัมป์จะเข้าร่วมในซาอุดิอาระเบียคือการประชุมว่าด้วยการลงทุนซาอุดิอาระเบีย-สหรัฐ (Saudi-US Invenstment Forum) ซึ่งมีนักธุรกิจอเมริกันคนสำคัญเข้าร่วมหลายคน รวมทั้งอิลอน มัสก์, แลรี่ ฟิงค์ ซีอีโอแบล็คร็อค, สตีเฟ่น ชวาร์ตซ์แมน ซีอีโอแบล็คสโตนและสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ท่ามกลางความคาดหวังว่าสหรัฐและซาอุดิอาระเบียจะบรรลุข้อตกลงทางการค้าหลายฉบับระหว่างทริปนี้
โดยซาอุดิอาระเบียให้คำมั่นว่าจะเข้าไปลงทุนที่สหรัฐในมูลค่า 6 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่ทรัมป์บอกว่าต้องการให้ลงทุน 1 ล้านล้านดอลล่าร์ นอกจากนี้ก็คาดว่าทรัมป์จะเสนอขายชุดอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งอาวุธทันสมัย มูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านดอลล่าร์ให้ซาอุดิอาระเบียด้วย ซึ่งซาอุดิอาระเบียก็เล็งซื้อเครื่องบินโจมตี F-35 ของสหรัฐเอาไว้
หลังทำข้อตกลงการค้าที่ซาอุดิอาระเบีย ทรัมป์ก็จะเดินทางต่อไปกาตาร์ในวันพรุ่งนี้ (พุธที่ 14 พค.) และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในวันพฤหัสบดี(15 พค.) ซึ่งคาดว่าการเยือนอีก 2 ประเทศก็จะเป็นการหารือเรื่องธุรกิจเช่นกัน โดยทรัมป์บอกว่าอาจจะแวะไปนครอิสตันบูลในวันพฤหัสบดีเพื่อร่วมเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครนที่ตุรกีเป็นเจ้าภาพ แต่ทริปนี้ทรัมป์กลับมองข้ามอิสราเอล ทำให้หลายฝ่ายมองว่าอิสราเอลและปัญหาความมั่นคงในตะวันออกกลางไม่ได้อยุ่ในสายตาของผู้นำสหรัฐเลย ดังนั้นเรื่องการหยุดยิงในกาซาหรือการผลักดันรัฐปาเลสไตน์ก็ไม่น่าจะอยู่ในประเด็นพูดคุย