นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย ออกทีวีแถลงต่อประชาชนเป็นครั้งแรก เมื่อวานนี้ (12 พ.ค.) หลังอินเดียเปิดศึกกับปากีสถานเมื่อวันพุธที่แล้ว (7 พ.ค.) ว่า ปากีสถานเลือกโจมตีอินเดีย แทนที่จะช่วยต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย หากปากีสถานต้องการอยู่รอด จะต้องทำลายโครงสร้างพื้นฐานผู้ก่อการร้าย และถ้าในอนาคต มีการโจมตีก่อการร้ายกับอินเดียอีก อินเดียจะตอบโต้อย่างแม่นยำและเด็ดขาด ต่อกลุ่มก่อการร้ายที่เฟื่องฟูโดยอาศัยการแบล็คเมล์ด้วยนิวเคลียร์เป็นเครื่องกำบัง
โมดี กล่าวว่า จุดยืนของอินเดีย ชัดเจน คือการก่อการร้ายและการเจรจา ไม่อาจไปด้วยกันได้ เลือดกับน้ำไม่อาจไหลรวมกันได้ ซึ่งน่าจะเป็นการอ้างความเห็นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า เขาได้บอกกับอินเดียและปากีสถานว่า สหรัฐฯจะค้าขายกับทั้งคู่หากยุติการสู้รับ ส่วนการพูดถึงเลือดกับน้ำ น่าจะพาดพิงถึงการระงับสนธิสัญญาแบ่งปันใช้ประโยชน์จากแม่น้ำระหว่างกัน
อินเดียเปิดฉากโจมตีเป้าหมายที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถาน เพื่อตอบโต้เหตุสังหารหมู่นักท่องเที่ยว 26 รายในแคชเมียร์เมื่อ 22 เมษายน โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลปากีสถานมีส่วนสนับสนุน ต่อมา สองฝ่ายกล่าวหากันและกันว่า ส่งเครื่องบินรบและโดรนโจมตีกัน และสาดกระสุนปืนใหญ่ถล่มข้ามเขตแดนในแคชเมียร์กันอย่างต่อเนื่อง จนที่สุด มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายอย่างน้อย 60 ราย กลายเป็นความขัดแย้งนองเลือดที่สุดในรอบ 20 ปี
การแถลงข่าวของนายกฯโมดี มีขึ้นหลังจากกองทัพอินเดีย รายงานว่า สถานการณ์ที่ดินแดนพิพาทแคชเมียร์ และชายแดนตะวันตกติดกับปากีสถานในคืนก่อนหน้า สงบเป็นคืนแรกในรอบหลายวัน หลังจากตกลงหยุดยิงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจากการไกล่เกลี่ยของสหรัฐฯ ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ แถลงว่า รัฐบาลของเขาช่วยป้องกันสงครามนิวเคลียร์เลวร้าย ที่อาจคร่าชีวิตผู้คนหลายคน และเขารู้สึกภูมิใจมากที่ยับยั้งสงครามนิวเคลียร์ได้ โดยคำสัญญาเรื่องการค้า ถือเป็นกลไกสำคัญในการช่วยยุติศึกครั้งนี้
ทรัมป์โพสต์สื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันเสาร์ว่า อินเดียกับปากีสถานตกลงหยุดยิงทันที หลังจากสหรัฐฯพยายามไกล่เกลี่ยตลอดคืน แม้ว่าก่อนหน้านั้น เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่งบอกว่า ศึกอินเดียและปากีสถานไม่ใช่ธุระของสหรัฐฯ และจะไม่เข้าไปแทรกแซง สื่อในสหรัฐฯ รายงานว่า แวนซ์ และมาร์โก รูบีโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ รีบต่อสายคุยสองฝ่าย หลังจากได้รับ “ข่าวกรองที่น่าตกใจ” แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด กระทั่งทรัมป์แถลงว่า สหรัฐฯช่วยหยุดยั้งสงครามนิวเคลียร์