เรื่องแรกคือเงิน 71 ล้านบาท ที่ทนายตั้มชักชวนเจ๊อ้อยลงทุนให้ทำธุรกิจหวยออนไลน์ ซึ่งเจ๊อ้อยได้แจ้งความไปแล้วในคดีฉ้อโกง
ข่าวที่น่าสนใจ
ประเด็นต่อมาคือเงิน 39 ล้านบาท ที่เจ๊อ้อยถูกหลอกให้โอนไปให้เพื่อนของทนายตั้มในการจัดหาศิลปินเข้ามาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย ซึ่งทนายตั้มอ้างว่าต้องจ่ายเป็นบิตคอยน์ให้ศิลปินคนดังกล่าวและโอนไปให้ แต่พอโอนไปให้ ทนายตั้มอ้างว่าเป็นแก๊งสแกมเมอร์ ถูกดูดเงินออกจากบัญชี เจ๊อ้อยรู้สึกผิด จึงโอนเงินคืนให้ ซึ่งประเด็นนี้ต้องไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงอีกครั้งว่าถูกแก๊งสแกมเมอร์หลอกจริงหรือไม่
และยังมีเงินอีก 13 ล้านบาท ที่เจ๊อ้อยให้ทนายตั้มไปซื้อรถเบนซ์หรู แต่ราคาจริงอยู่ที่ 8 ล้านบาท (มีส่วนต่าง 5 ล้านบาท)
และอีก 9 ล้านบาท ที่เจ๊อ้อยให้เป็นเงินค่าออกแบบสร้างโรงแรมที่ จ.นครราชสีมา และอาจมีประเด็นความเสียหายอื่นตามมาอีกหลายประเด็น
นายปานเทพ ยังบอกด้วยว่า ตั้งแต่เป็นประเด็นข่าวจนถึงตอนนี้ ทนายตั้มยังไม่เคยออกมาชี้แจงประเด็นความขัดแย้งกับเจ๊อ้อย เพียงแต่ชี้แจงประเด็นของ หนึ่ง บางปู ผ่านไลน์กลุ่มเท่านั้น มองว่าผิดวิสัยของทนายตั้ม เพราะทุกครั้งที่มีประเด็นอะไรพาดพิงไปถึงตัวเอง เจ้าตัวจะรีบออกมาชี้แจงหรือตั้งโต๊ะแถลงข่าวทันที แต่ครั้งนี้กลับเงียบ ทำให้สังคมตั้งข้อสังเกตว่าทนายตั้มตอบเรื่องนี้ไม่ได้ใช่หรือไม่ จึงอยากแนะนำให้ทนายตั้มออกมาพูดความจริงดีกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ส่วนกรณีที่ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้ออกมาเปิดเผยว่าได้คุยกับทนายตั้มตลอด ทนายตั้มยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเงินที่ได้จากเจ๊อ้อยได้มาโดยเสน่หา มีสัญญาระหว่างกัน ตนมองว่าเป็นสัญญาหลอกเอาไว้เฉยๆ เพื่อเลี่ยงภาษี ซึ่งเรื่องนี้ ตนตั้งข้อสังเกตว่าถ้าเป็นสัญญาแบบหลอกจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงหรือทวงถามอะไรอีก แต่เรื่องนี้เจ๊อ้อยมีหลักฐานการทวงถามถึงความคืบหน้าของโปรเจกต์นี้ตลอด หมายความว่าเรื่องนี้ทนายตั้มต้องสัญญาอะไรไว้กับเจ๊อ้อยแน่นอน
นอกจากนี้ นายปานเทพ ยังตั้งข้อสังเกตเรื่องเงิน 71 ล้านบาท ที่เจ๊อ้อยให้ทนายตั้มโดยเสน่หา ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพราะขนาดเงิน 3 แสนบาท ที่ให้เป็นเงินเดือน เจ๊อ้อยยังยกเลิกเลย แล้วเงิน 71 ล้านบาท จะให้ทนายตั้มเปล่า ๆ ได้อย่างไร รวมถึงเพื่อนทนายคนอื่น ๆ ที่เคยพาผู้เสียหายไปกองปราบฯ แจ้งความเรื่องดิไอคอนกรุ๊ปพร้อมทนายตั้ม หลายคนยังไม่เชื่อเลยว่าทนายตั้มได้เงิน 71 ล้านบาท โดยเสน่หา ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้คนที่เคยใกล้ชิดกับทนายตั้มก็เริ่มตีตัวออกห่างแล้ว แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เจ๊อ้อยพูดเริ่มมีน้ำหนัก และเชื่อว่าเรื่องนี้คนในสังคมสามารถแยกแยะได้ว่าใครพูดจริงหรือไม่จริง
นอกจากนี้ ทนายตั้มยังสร้างปัญหาและหลอกลวงเจ๊อ้อยมาโดยตลอด แล้วเจ๊อ้อยจะเอาอะไรไปเสน่หาทนายตั้มถึงต้องให้เงินไปฟรี ๆ แบบนั้น โดยยืนยันว่า เจ๊อ้อยมีหลักฐานชัดเจนว่าทนายตั้มเข้าข่ายฉ้อโกง และความจริงแล้ว เงินก้อนนี้เจ๊อ้อยจะนำไปพัฒนาชุมชนของตนเอง แต่พอได้รับข้อเสนอจากทนายตั้ม จึงคิดว่าถ้าทำโปรเจกต์กับทนายตั้มเพียงแค่ครั้งเดียว ก็จะได้ผลกำไรในระยะยาวเพื่อนำไปพัฒนาชุมชนในตอนที่ตัวเองไม่อยู่ แต่เมื่อนำเงินก้อนนี้ไปให้ทนายตั้มก็กลับถูกหลอกอย่างที่เห็น
ทั้งนี้นายปานเทพ ย้ำกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า ตอนนี้สังคมอาจจะสงสัยว่าทำไมตนถึงออกมาพูดหรือให้สัมภาษณ์ในประเด็นเจ๊อ้อย ยืนยันว่าตนไม่ใช่โฆษกประจำตัวเจ๊อ้อย แต่ที่ต้องออกมาพูดเนื่องจากเจ๊อ้อยได้นำข้อมูลข้อเท็จจริงมาเล่าให้ และตนในฐานะสื่อมวลชนอาวุโสจึงมีหน้าที่ในการตรวจสอบและนำเสนอข้อเท็จจริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
