เวบไซต์ทำเนียบเครมลิน เผยแพร่กฤษฎีกาที่ประธานาธิบดีปูติน ลงนามเมื่อวันจันทร์ (16 ก.ย.) มีคำสั่งให้ขยายบุคลากรในกองทัพเป็น 2 ล้าน 3 แสน 8 หมื่นคน ในจำนวนนี้ เป็นทหารประจำการ จำนวน 1 ล้าน 5 แสนคน
ข้อมูลจากสถาบันยุทธศาสตร์ศึกษาระหว่างประเทศ หรือ IISS ซึ่งเป็นองค์กรคลังสมองด้านการทหาร ระบุว่าคำสั่งของปูติน จะทำให้รัสเซียมีทหารประจำการ แซงหน้าสหรัฐอเมริกาและอินเดีย เป็นรองแค่กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนเท่านั้น โดย IISS ประเมินว่า ณ ปัจจุบัน จีนมีทหารประจำการราว 2 ล้านคน
นับเป็นครั้งที่สามแล้ว ที่ผู้นำรัสเซียสั่งเพิ่มจำนวนทหารอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่เปิดฉากบุกยูเครนกว่า 2 ปีก่อน
ครั้งแรก ปูตินสั่งเพิ่มจำนวนทหาร 1 แสน 3 หมื่น 7 พันคน ในเดือนสิงหาคม 2565 แต่เดือนต่อมา หลังจากกองทัพยูเครนปฏิบัติการโต้กลับ และสามารถปลดปล่อยแคว้นคาร์คิฟ ได้เกือบทั้งหมด ปูตินได้สั่งเรียก ระดมพลบางส่วน อีก 3 แสนคน
การระดมพลนี้หมายความว่า พลเมืองที่มีประสบการณ์ทางทหารและกำลังพลสำรอง อาจถูกเรียกตัว แต่แผนระดมพลครั้งนั้น ทำให้ชาวรัสเซียจำนวนมากพากันหลบหนีออกจากประเทศ และจุดกระแสไม่พอใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในภูมิภาคชนกลุ่มน้อย
แผนระดมพลถูกระงับในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยทางการอ้างว่า เกณฑ์ทหารได้ครบตามเป้าหมายแล้ว
จากนั้น ในเดือนธันวาคม 2566 ประธานาธิบดีปูติน สั่งเพิ่มทหารอีก 1 แสน 7 หมื่นคน ส่วนครั้งที่สามนี้ มีขึ้นขณะที่กองทัพรัสเซียกำลังรุกคืบดินแดนทางตะวันออกของยูเครน และพยายามขับไล่ทหารยูเครนออกจากแคว้นคูสค์ในเวลาเดียวกัน
อันเดร คาร์ตาโปลอฟ ประธานคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย กล่าวว่า การเพิ่มจำนวนทหารประจำการ เป็นส่วนหนึ่งของแผนยกเครื่องกองทัพ และเพิ่มกำลังพลทีละขั้นให้สอดรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างการที่ฟินแลนด์ ซึ่งมีชายแดนติดกันทางตะวันตกเฉียงเหนือ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตแล้ว
แม้รัสเซียมีประชากรมากกว่ายูเครนถึง 3 เท่า และประสบความสำเร็จในการเกณฑ์ทหารเพื่อร่วมรบในยูเครน แต่ก็ประสบกับความสูญเสียในสนามรบไม่น้อยเช่นกัน และยังไม่ทีท่าว่าสงครามกับยูเครนจะสงบลงในเร็ววัน
