ที่รัฐสภา นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีสมาชิกส.ส. กล่าวอ้างถึงคำสัมภาษณ์ เรื่องการจัดส่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าว่า เดิมมีแผนจัดส่งให้รัฐบาลภายใต้แผนที่เราดำเนินการและเสนอไปถึงบริษัท แต่ช่วงนั้นทราบว่าจะมีการส่งให้รัฐบาลประมาณ 3.5 ล้านโดส ตนขอชี้แจงและนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเวลานั้นให้ประชาชนทราบ หลังจากนั้นได้หารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข หารือกับบริษัทแอสตร้าฯ ถึงการจัดส่ง และปรับแผนการจัดส่ง จนสุดท้ายขณะนี้มีการเพิ่มจำนวนการจัดส่งวัคซีนตามแผนส.ค. -ต.ค. เพิ่มมากขึ้น โดยเดือนส.ค. จัดส่งเกือบ 6 ล้านโดส เดือนก.ย. 10 ล้านโดส ซึ่งเพิ่มมากขึ้นจากการพูดคุย และวางแผนร่วมกัน
นายสาธิต อภิปรายว่า ประเด็นถัดมาคือความเห็นของตนที่ออกมา ให้สัมภาษณ์ในสถานการณ์ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก จากหลักพันไปถึงหลักหมื่นราย ซึ่งในเวลานั้นมีการเตรียมศักยภาพเตียงรองรับ เป็นไปตามสัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อ แต่ยังมีผู้รอเตียงจำนวนมาก และ มีหลายคนรอเตียงและเสียชีวิต ตนก็รายงานให้ทราบทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อ และเตียงมีปัญหา เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงสถานการณ์ที่เป็นจริงในขณะนั้น ช่วงเวลานั้น ซึ่งต้องขอย้ำว่าสถานการณ์โควิดเป็นพลวัตร ไม่สามารถเอาข้อมูล ณ เวลาใด เวลาหนึ่งมาเปรียบเทียบกับเวลาใดเวลาหนึ่งได้ ในสถานการณ์โควิด เราสู้ไป เรียนรู้ไป ปรับแผนต่อสู้กับจำนวนคนไข้ที่สูงขึ้น เตรียมศักยภาพของทุกภาคีเครือข่ายรพ. ทั้งรพ.สนาม ฮอทพิเทล เป็นต้น ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งต้องให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ ล่าสุดคิดรูปแบบ Home Isolation สำหรับผู้ติดเชื้อไม่มีอาหาร คิดเป็นกว่า 80% โดยอยู่ภายใต้การดูแลของสถานพยาบาลใกล้บ้าน ไม่ไปรบกวนเตียงของทุกภาคีเครือข่าย ในการแก้ปัญหาผู้ติดเชื้อตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน และหลักหมื่นราย เราสามารถต่อสู้โควิดได้ วันนี้สถานการณ์เตียงมีปัญหาลดลง มีเตียงสีเขียวในรพ. และฮอทพิเทลเริ่มว่าง รองรับผู้ป่วยไม่มีอาการได้ ดังนั้นการที่นำเอาคลิปการสัมภาษณ์ของตนในวันนั้นมาทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง สถานการณ์ในขณะนั้นไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ที่ดีขึ้นตามลำดับ
“ถ้าเรารณรงค์ให้ประชาชนมีวินัยป้องกันตัวเอง เดินหน้าไปพร้อมการควบคุมโรค และฉีดวัคซีนทั้งในกทม. และต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขเร่งขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 คือผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เชื่อมั่นว่าอีก 4-5 เดือนข้างหน้า สถานการณ์จะดีขึ้นตามลำดับ และสามารถเปิดกิจการได้ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้” นายสาธิต กล่าว